หน้าหลัก > ข่าวสารและผลงาน> บทความทางกฎหมาย
40 ปี ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ดร.สมภพ โหตระกิตย์)

๔๐ ปี ในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา


                                ในโอกาสที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะประกอบพิธีเปิดทำการ

อาคารสำนักงานหลังใหม่ในวันพุธที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๒๔ และประจวบกับเป็นวันครบรอบ

วันคล้ายวันสถาปนา ปีที่ ๔๘ ท่านเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (ดร.อมร

จันทรสมบูรณ์) ได้มีหนังสือมาขอให้ผมในฐานะอดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

เขียนบทความเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการและผลงานในระหว่างที่ผมรับราชการในสำนักงาน

คณะกรรมการกฤษฎีกาผมยินดีสนองรับคำขอดังกล่าว เพราะมีความสำนึกอยู่ตลอดเวลา

ว่าความรู้ในการร่างกฎหมายก็ดี ประสบการณ์ในการบริหารราชการในสำนักงานก็ดีเป็น

ความรู้และประสบการณ์ที่ผมได้รับจากสำนักงานนี้เป็นส่วนใหญ่ตลอดระยะเวลา ๔๐ ปี

นับตั้งแต่เริ่มเข้ารับราชการเป็นเสมียนฝึกหัดเมื่อ พ.. ๒๔๘๒ และได้ลาออกจากราชการ

เมื่อ พ.. ๒๕๒๒ และในปัจจุบันก็ยังมีความรู้สึกผูกพันอยู่กับสำนักงานนี้ และปรารถนา

ที่จะได้เห็นความเจริญก้าวหน้าบังเกิดแก่สำนักงานนี้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

                                การเขียนบทความเกี่ยวกับอดีตหรือเบื้องหลังการทำงาน มองดูผิวเผิน

น่าจะเขียนได้ง่าย เพราะเป็นการนำเหตุการณ์ในอดีตมาเล่าให้คนปัจจุบันทราบ แต่สำหรับ

กรณีของผมเมื่อได้ลองวางแนวการเขียนขึ้นแล้ว ก็เกิดมีปัญหาถามตัวเองขึ้นมาว่า จะควร

เขียนในลักษณะอย่างใดเพื่อมิให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกว่าเป็นการโอ้อวด เมื่อได้ใคร่ครวญ

ดูแล้วก็ตกลงใจจะเขียนด้วยความระมัดระวังและจะอยู่ในหลักของประสบการณ์ที่ผมได้รับ

ในระหว่างรับราชการในสำนักงานฯ ถึง ๔๐ ปี และเมื่อได้อ่านแล้วอาจถือเป็นแบบอย่างนำ

ไปลองปฏิบัติบ้างก็ได้อนึ่ง การเขียนบทความนี้ผมเขียนจากความทรงจำ และไม่มีเวลา

ค้นคว้าตรวจสอบกับเอกสารของทางราชการ ถ้าหากมีข้อบกพร่องหรือเขียนได้ไม่ครบถ้วน

โปรดอภัยด้วย

 

ประสบการณ์ในระหว่างเป็นเสมียนฝึกงาน

 

                                ผมได้เริ่มเข้ามาทำงานในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะ

ของเสมียนฝึกงานเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พ.. ๒๔๘๒ เหตุที่ผมต้องเริ่มต้นด้วย

การเป็นเสมียนฝึกงานก็เพราะพ่อของผมได้ทราบมาว่า การเรียนกฎหมายในสมัยนั้น

ถ้าหากผู้เขียนได้ฝึกงานในสำนักงานทนายความ หรือในกรมร่างกฎหมายในระหว่างที่

กำลังเรียนอยู่ ก็จะเรียนสำเร็จได้เร็วและจะสอบเข้าเป็นผู้พิพากษาหรืออัยการได้โดยง่าย

และประกอบกับพ่อทราบว่าการเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเวลาเรียน

หรือฟังคำบรรยายเพียงวันละสองชั่วโมงเท่านั้นถ้าปล่อยให้ผมมีเวลาว่างมากก็จะกลาย

เป็นคนเจ้าสำราญ การเรียนจะไม่ได้ผล เมื่อได้นำความห่วงใยไปปรึกษาคุณหลวง

ประเสริฐมนูกิจ (อดีตข้าหลวงยุติธรรม ภาค ๕ และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) คุณหลวงประเสริฐมนูกิจได้แนะนำให้ผมไปฝึกงานที่

คณะกรรมการกฤษฎีกา และท่านได้นำผมไปฝากกับ ดร.เดือน บุนนาค

เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาในขณะนั้น ดร.เดือน บุนนาค ได้สั่งให้ผมไปช่วย

คุณวัชรินทร์ รักติประกร ข้าราชการชั้นโท ซึ่งทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ของ

คณะกรรมการกฤษฎีกา ผมจำได้ว่าดร.เดือนฯ ได้ถามผมว่าเรียนโรงเรียนไหน

มีความรู้ภาษาต่างประเทศภาษาใด เมื่อได้ทราบว่าผมสำเร็จจากโรงเรียนอัสสัมชัญ

เรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาเอก และภาษาอังกฤษเป็นภาษารอง ดร.เดือนฯ จึงได้

กล่าวกับคุณหลวงประเสริฐมนูกิจว่าจะส่งให้ไปช่วยบรรณารักษ์เพราะจะได้มีโอกาส

อ่านตำรากฎหมายภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ

                                ผมได้ช่วยคุณวัชรินทร์ รักติประกร ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างอยู่

ประมาณหนึ่งปี จึงได้สอบเข้าเป็นเสมียนพนักงาน เมื่อเดือนมิถุนายน พ.. ๒๔๘๓

                                หน้าที่ที่ผมทำในฐานะผู้ช่วยบรรณารักษ์ ก็คือ

(๑)    ดูแลหนังสือตำรากฎหมายทั้งภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษซึ่งใน

ขณะนั้นมีอยู่ประมาณพันกว่าเล่มให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย พร้อมที่จะหยิบใช้ได้โดย

รวดเร็วตามความต้องการของที่ปรึกษาชาวต่างประเทศซึ่งในขณะนั้นมีอยู่ ๔ คน

(๒)    จัดทำดัชนีแยกหนังสือกฎหมายภาษาไทย ฝรั่งเศส และอังกฤษ

เพื่อสะดวกแก่การหยิบหรือค้น ผมจำได้ว่าในระยะเวลาหนึ่งปีได้เขียนดัชนีหนังสือลงใน

บัตรแข็งประมาณพันกว่าฉบับ ที่ต้องเขียนด้วยมือแทนการพิมพ์อย่างเช่นในปัจจุบัน

ก็เพราะเครื่องพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษมีน้อยเครื่องและผมก็พิมพ์ไม่เป็น และเนื่องจากผม

เรียนมาจากโรงเรียนอัสสัมชัญได้รับการฝึกได้คัดลายมือแบบต่าง ๆ ผมจึงนำความชำนาญ

จากโรงเรียนมาช่วยทำงานให้เป็นที่พอใจแก่บรรณารักษ์ซึ่งเป็นผู้ควบคุมและแนะนำการ

ทำงานของผม

(๓)    ติดต่อสั่งหนังสือกฎหมายจากบริษัทจำหน่ายหนังสือในประเทศ

ฝรั่งเศสและประเทศอังกฤษ หน้าที่นี้ทำให้ผมได้ความรู้เกี่ยวกับการติดต่อบริษัทจำหน่าย

หนังสือหรือธนาคารเพื่อซื้อดราฟเงินตราต่างประเทศชำระค่าหนังสือ

                                ในระหว่างเวลาประมาณหนึ่งปีที่ผมทำงานเป็นผู้ช่วยบรรณารักษ์ ทำให้

ผมมีโอกาสศึกษาหาความรู้จากตำรากฎหมายไทย กฎหมายฝรั่งเศส และกฎหมายอังกฤษ

และมีประโยชน์เป็นอย่างมากเมื่อผมได้ไปศึกษากฎหมายต่อที่มหาวิทยาลัยปารีส ประเทศ

ฝรั่งเศสนอกจากนี้ยังได้เห็นวิธีทำงานของหัวหน้ากองร่างกฎหมายในขณะนั้น

(คุณหลวงวิจารณ์ ราชสฤชณ์) เพราะโต๊ะทำงานของหัวหน้ากองร่างกฎหมายอยู่ตรงกันข้าม

กับโต๊ะทำงานของบรรณารักษ์

                                ผมขอแทรกการจัดแบ่งห้องทำงานของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ในขณะนั้นเพื่อความรอบรู้ของเพื่อนข้าราชการไว้ด้วย ในสมัยนั้นสำนักงานฯมีห้องประชุม

สำหรับกรรมการร่างกฎหมายเพียงห้องเดียว คือ ห้องประชุมหมายเลข ๑ ปัจจุบัน โต๊ะประชุม

เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าปูด้วยผ้าสักหลาดสีเขียวนั่งได้ประมาณ ๑๐–๑๒ คน ส่วนเก้าอี้

สำหรับกรรมการก็คือเก้าอี้ที่จัดให้กรรมการนั่งประชุมในปัจจุบัน ห้องที่ผมนั่งทำงานในฐานะ

ผู้ช่วยบรรณารักษ์ในขณะนั้น คือห้องประชุมหมายเลข ๒ ในปัจจุบัน ในห้องนี้มีทั้งหัวหน้า

กองร่างกฎหมาย เลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๑ เลขานุการกรรมการร่าง

กฎหมายคณะที่ ๒ และบรรณารักษ์นั่งรวมกัน ๔ คน รวมผมซึ่งนั่งหน้าโต๊ะบรรณารักษ์เป็น

๕ คน ส่วนห้องประชุม ๓ ในปัจจุบัน เป็นห้องทำงานของเลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย

คณะที่ ๓ ผู้แปล และผู้ช่วยแปล รวม ๓ คน เมื่อสำนักงานฯ จะเพิ่มกรรมการร่างกฎหมาย

อีกคณะหนึ่งเป็น ๔ คณะ จึงได้ต่อเติมห้องระหว่างชั้น ๑ กับชั้น ๒ (ซึ่งได้แก่ห้องผู้ช่วย

เลขานุการฯในปัจจุบัน) เป็นห้องของกรรมการร่างกฎหมายประจำ และผู้ช่วยกรรมการ

ร่างกฎหมายประจำส่วนห้องเลขาธิการอยู่ชั้นบนตรงบันไดที่ขึ้นไปชั้นสองในปัจจุบันใช้เป็น

ห้องทำงานของผู้ช่วยเลขานุการฯ และห้องนายพิชาญ บุลยง (ที่ปรึกษากฎหมายชาว

ฝรั่งเศส) คือห้องกฎหมายต่างประเทศก่อนย้ายไปตึกใหม่

                                ในระหว่างที่นั่งทำงานในห้องเดียวกับหัวหน้ากองร่างกฎหมาย ท่าน

หัวหน้ากองร่างกฎหมายได้อาศัยไหว้วานให้ผมช่วยค้นกฎหมายไทย รวมทั้งการทำ

สารบาญร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการร่างกฎหมายคณะต่าง ๆ

ทำให้ผมได้เรียนรู้ความมีระเบียบเรียบร้อยของท่าน ท่านได้รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับการ

ประชุมของกรรมการร่างกฎหมายคณะต่าง ๆ ไว้ทุกเรื่อง และแยกเรื่องตามประเภทของ

ร่างกฎหมายและจัดพิมพ์เป็นเล่ม ๆ เมื่อท่านต้องการดูแบบกฎหมายหรือความคิดเห็น

ของกรรมการร่างกฎหมายคณะใดท่านสามารถใช้แฟ้มเรื่องเสร็จของท่านได้โดยไม่ต้อง

ไปขอเรื่องเสร็จของสำนักเลขานุการกรมนอกจากนี้ท่านยังได้ช่วยให้ผมได้รับความรู้

เกี่ยวกับการงานที่ผ่านการพิจารณาของท่าน โดยท่านขอให้ผมเป็นผู้นำเรื่องไปส่งให้

สำนักงานเลขานุการกรมเพื่อนำเสนอต่อเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาสั่งการต่อไป

และก่อนที่ผมจะเดินไปส่งแฟ้มเรื่อง ถ้าไม่ใช่เป็นเรื่องลับท่านจะเตือนให้ผมอ่านเรื่อง

ดังกล่าวเสียก่อน ทำให้ผมได้มีโอกาสศึกษาข้อเสนอหรือความคิดเห็นของเลขานุการ

กรรมการร่างกฎหมายและของหัวหน้ากองร่างกฎหมาย และท่านยังบอกว่า ถ้าสงสัย

ตอนไหนให้ถามท่านได้ เมื่อเขียนเหตุการณ์ตอนนี้ผมต้องขอขอบคุณในความกรุณา

ของคุณหลวงวิจารณ์  ราชสฤชณ์ ไว้ ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง เพราะท่านช่วยทำให้ผมได้เห็น

การทำงานที่มีระเบียบและได้รับความรู้เกี่ยวกับการร่างกฎหมายเป็นพื้นฐานตั้งแต่เริ่ม

เข้าทำงาน

 

ประสบการณ์ในระหว่างเป็นเสมียนพนักงาน

                                ผมช่วยบรรณารักษ์ทำงานได้หนึ่งปี ก็มีตำแหน่งเสมียนพนักงานว่าง

ในสำนักงานฯ ผมได้ขออนุญาตพ่อขอสมัครสอบเป็นเสมียนพนักงาน ในชั้นแรกพ่อไม่

อนุญาตเพราะเกรงว่าจะเป็นอุปสรรคต่อการเรียนกฎหมาย แต่เมื่อได้ฟังคำชี้แจงของผม

เกี่ยวกับความรู้สึกที่ผมประสบอยู่ในขณะนั้น คือ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนมีความ

สงสารผมที่มานั่งทำงานให้แก่ราชการทุก ๆ วันโดยไม่ได้รับเงินเดือน เวลาราชการสำหรับ

คำนวณบำเหน็จบำนาญก็ไม่มี จึงได้ชวนให้ผมสมัครสอบเป็นเสมียนพนักงาน และเพื่อน

เสมียนพนักงาน หลายคนก็อยากให้ผมมีฐานะอย่างเดียวกับเขาในที่สุดพ่อก็ใจอ่อน

ยอมให้ผมสมัครสอบได้โดยกำชับว่าจะต้องไม่ให้เสียหายแก่การเรียนกฎหมาย

                                ผมจำได้ว่าวิชาสอบไล่เป็นเสมียนพนักงานในสำนักงาน

คณะกรรมการกฤษฎีกาในสมัยนั้นเป็นวิชาที่ยากมาก เพราะมีวิชาเรียงความหรือแปล

ภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศให้สอบด้วยผู้สมัครสอบอาจเลือกทำภาษาอังกฤษ

หรือฝรั่งเศส หรือทั้งสองภาษาก็ได้ และมีวิชาพิมพ์ดีดภาษาไทย และภาษาอังกฤษ

อีกด้วย สำหรับการสอบพิมพ์ดีดนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเพราะเมื่อได้ช่วย

บรรณารักษ์ทำงานมาหกเดือนเศษ ผมเกิดเบื่อที่จะต้องนั่งเขียนดัชนีหนังสือกฎหมาย

จึงได้ไปเรียนพิมพ์ดีดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อพิมพ์ดัชนีหนังสือกฎหมาย

แทนการเขียนด้วยลายมือการพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษของผมอยู่ในขั้นดีมาก สามารถ

พิมพ์ได้นาทีละ ๖๐ คำ ส่วนภาษาไทยอยู่ในขั้นปานกลาง คือนาทีละ ๔๐ คำ ในที่สุด

ผมสอบเป็นเสมียนพนักงานได้ และได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษ

เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ ๒๔๘๓ ได้รับอัตราเงินเดือนเดือนละ ๒๐ บาท           

                                หน้าที่ของพนักงานพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษก็คือพิมพ์บันทึกความเห็น

ภาษาอังกฤษของที่ปรึกษากฎหมาย คำแปลกฎหมาย คัดตัวบทกฎหมายทั้งภาษา

อังกฤษและภาษาฝรั่งเศส พิมพ์หนังสือนัดประชุมภาษาอังกฤษเพื่อแจ้งให้ที่ปรึกษา

กฎหมายทั้ง ๔ คนทราบในการจัดทำหนังสือนัดประชุมภาษาอังกฤษ เลขานุการ

กรรมการร่างกฎหมายแต่ละคณะจะเขียนเฉพาะกำหนดวันประชุมเป็นภาษาไทย และ

เขียนเรื่องที่จะประชุมเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ไม่ได้ร่างข้อความที่จะพิมพ์ให้สมบูรณ์ 

เป็นหน้าที่ของเสมียนพนักงานในสำนักงานเลขานุการกรมที่จะร่างข้อความในหนังสือ

นัดประชุมให้เรียบร้อย แล้วส่งไปพิมพ์ ถ้าเสมียนพนักงานผู้นั้นไม่ว่าง พนักงานพิมพ์ดีด

ก็จะช่วยเรียบเรียงข้อความให้ถูกต้องครบถ้วน ในทางปฏิบัติเจ้าพนักงานพิมพ์ดีดแต่ละคน

มีความชำนาญในการพิมพ์หนังสือนัดประชุมภาษาอังกฤษโดยไม่ต้องร่างข้อความก่อน

                                ผมทำงานในหน้าที่พนักงานพิมพ์ดีดอยู่เกือบ ๓ ปี ได้ประโยชน์จาก

การทำหน้าที่นี้เป็นอย่างมาก ความรู้ภาษาอังกฤษดีขึ้นเพราะต้องพิมพ์บันทึกภาษา

อังกฤษของที่ปรึกษากฎหมายและคำแปลกฎหมาย ในการพิมพ์บันทึกภาษาอังกฤษ

ก่อนจะพิมพ์ผู้พิมพ์จะต้องอ่านบันทึกนั้นเสียก่อนเพื่อตรวจดูว่า ถ้อยคำที่ที่ปรึกษา

กฎหมายเขียนมานั้นอ่านว่ากระไร สะกดตัวอักษรถูกหรือไม่ ที่ปรึกษากฎหมายทุกคน

เขียนบันทึกด้วยดินสอดำ แต่ละคนเขียนลายมือที่ค่อนข้างหวัดและอ่านยากมาก และ

เนื่องจากเป็นชาวฝรั่งเศสจึงมักเผลอเขียนเป็นคำภาษาฝรั่งเศสแทนที่จะเขียนเป็นภาษา

อังกฤษ หรือเขียนเป็นภาษาอังกฤษแต่สะกดตัวอักษรผิดอยู่เนือง ๆ นอกจากนี้จะต้อง

ช่วยดูการผันกริยา(Verb) ว่าถูกต้องตามหลักไวยากรณ์หรือไม่ ผมยังรู้สึกศรัทธาใน

ความรู้ความสามารถของข้าราชการในสมัยนั้นอยู่มากรู้สึกว่าทุกคนมีความรู้กฎหมาย

และภาษาอังกฤษในขั้นดี มีหลายครั้งที่หัวหน้าแผนกพิมพ์ดีดต้องถือร่างบันทึกไปขอ

คำอธิบายจากที่ปรึกษากฎหมาย เพราะข้อความในร่างไม่ชัดเจนหรืออ้างมาตราไม่ตรง

กับข้อความที่กล่าว ซึ่งก็ได้รับคำขอบใจและคำชมเชยจากที่ปรึกษากฎหมายว่า ทำงาน

ละเอียดรอบคอบดีมาก ความรู้ภาษาอังกฤษของผมดีขึ้นเพราะต้องเปิดพจนานุกรม

ภาษาอังกฤษวันละหลาย ๆ ครั้ง เพื่อดูว่าคำนั้นเขียนอย่างไร พจนานุกรมฯที่ใช้ประจำ

ห้องพิมพ์ดีดขาดวิ่นหลายหน้าและมีคราบนิ้วมือติดอยู่เพราะพนักงานพิมพ์ดีดทุกคน

ต้องอาศัยพจนานุกรมเล่มนั้นเป็นคู่มือในการทำงาน ความสามารถของพนักงานพิมพ์ดีด

ในสมัยนั้นสูงมาก ทุกคนพิมพ์ได้ประมาณ ๖๐–๗๐ คำต่อนาที เวลาพิมพ์พร้อมกัน ๓ คน

(แผนกพิมพ์มีหัวหน้าหนึ่งคน และพนักงานพิมพ์ดีสามคน) เสียงดังน่าฟังมาก มักจะมีคน

เข้าไปยืนดูการพิมพ์ของพนักงานพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษอยู่บ่อย

                                งานที่จะต้องพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งงานของที่ปรึกษากฎหมาย

และของเลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย (ในขณะนั้นเลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย

มีเพียง ๓ คน) เอกสารทุก ๆ เรื่องที่จะเสนอที่ประชุมกรรมการร่างกฎหมายพิจารณา

จะต้องแปลและพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเพื่อเสนอต่อที่ปรึกษากฎหมาย เลขานุการกรรมการ

ร่างกฎหมายจะเป็นผู้แปลหนังสือจากเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเอกสารประกอบเรื่อง

ซึ่งอาจเป็นหนังสือจากส่วนราชการที่ขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในปัญหา

กฎหมาย หรืออาจเป็นร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชกฤษฎีกา หรือร่างกฎกระทรวง

ถ้าเป็นเรื่องการตีความกฎหมาย เมื่อที่ประชุมได้พิจารณาและมีความเห็นอย่างไรแล้ว

ที่ปรึกษากฎหมายจะเป็นผู้ยกร่างบันทึกความเห็นเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วส่งให้

เลขานุการกรรมการร่างกฎหมายแปลเสนอกรรมการร่างกฎหมาย หรือในบางเรื่อง

เลขานุการฯ จะเป็นผู้ร่าบันทึกเป็นภาษาไทยแล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ที่ปรึกษา

กฎหมายตรวจก่อนเสนอกรรมการ สำหรับการพิจารณาร่างกฎหมายเลขานุการฯ

จะต้องแปลข้อความที่แก้ไขเสนอที่ปรึกษากฎหมายทุกครั้ง จากระบบของการมีที่ปรึกษา

กฎหมายเป็นชาวต่างประเทศ งานพิมพ์ภาษาอังกฤษในสมัยนั้นจึงมีมาก พนักงาน

พิมพ์ดีดจึงพลอยได้รับความรู้ทั้งในด้านการร่างกฎหมาย การทำบันทึกเสนอความเห็น

และความแตกฉานในภาษาอังกฤษ

                                กล่าวโดยสรุป งานในหน้าที่พนักงานพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษได้สอน

ให้ผมเป็นคนละเอียด เพราะต้องอ่านข้อความในเอกสารที่จะพิมพ์เพื่อตรวจสอบความ

ถูกต้องของการสะกดตัวอักษร และหลักไวยากรณ์ก่อนลงมือพิมพ์ ได้ความรู้ในการ

สะกดถ้อยคำภาษาอังกฤษ มีความชำนาญในการค้นหาถ้อยคำในพจนานุกรม

ประสบการณ์ในระหว่างที่ทำหน้าที่เลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย และ

เลขานุการคณะที่ปรึกษากฎหมายของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

                       ผมทำหน้าที่เสมียนพนักงานพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษอยู่ประมาณ ๓ ปี

ก็พอดีสำนักงานฯมีตำแหน่งประจำแผนกกองร่างกฎหมายว่างอยู่สองตำแหน่ง ผมได้

อาศัยคุณวุฒิของอนุปริญญามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบเป็นข้าราชการชั้นตรีของ

สำนักงานฯ ได้ และได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการร่าง

กฎหมายชุดพิเศษ ซึ่งประกอบด้วยประธานกรรมการร่างกฎหมายของทุกคณะ และ

กรรมการร่างกฎหมายอีกบางท่าน เป็นคณะกรรมการที่มีกรรมการร่างกฎหมายมากกว่า

คณะอื่น ๆ ผู้ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการก็คือ คุณวัชรินทร์ รักติประกร ซึ่งเลื่อน

ตำแหน่งมาเป็นเลขานุการกรรมการร่างกฎหมายแต่ยังคงรักษาการบรรณารักษ์อีก

ตำแหน่งหนึ่ง เนื่องจากสำนักงานฯยังหาข้าราชการที่มีความรู้เกี่ยวกับหนังสือ

กฎหมายมาทำแทนไม่ได้

                                หน้าที่ของผู้ช่วยเลขานุการกรรมการร่างกฎหมายในสมัยนั้นก็เช่นเดียว

กับในสมัยนี้ คือมีหน้าที่ตระเตรียมตัวบทกฎหมายสำหรับใช้ระหว่างการประชุมและ

จดรายงานการประชุม เลขานุการกรรมการร่างกฎหมายทำหน้าที่ยกร่างบันทึกยกร่าง

มาตราต่าง ๆ ตามมติที่ประชุมและแปลร่างบันทึก ร่างตัวบทกฎหมายสำหรับที่ปรึกษา

กฎหมาย ผมทำหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการฯ อยู่ประมาณ ๖-๗ เดือน ก็ได้เลื่อนมาทำหน้าที่

เลขานุการกรรมการร่างกฎหมายคณะพิเศษ เนื่องจากสำนักงานฯ ได้จัดตั้งกรรมการ

ร่างกฎหมาย คณะที่ ๔ ขึ้นอีกคณะหนึ่ง และได้แต่งตั้งให้คุณวัชรินทร์ รักติประกร

เป็นเลขานุการกรรมการร่างกฎหมายคณะที่ ๔ ผมจึงต้องทำหน้าที่ เลขานุการและ

ผู้ช่วยเลขานุการฯ โดยที่กรรมการร่างกฎหมายคณะพิเศษประชุมสัปดาห์ละครั้ง

หัวหน้ากองร่างกฎหมายจึงได้ขอให้ผมทำทั้งสองหน้าที่ไปพลางก่อนจนกว่าจะได้

ตำแหน่งเพิ่มในขณะนั้น ผมรู้สึกว่าการทำงานสองหน้าที่เป็นภาระหนักมาก โดยเฉพาะ

งานแปลเอกสารสำหรับนายพิชาญ บุลยง แต่เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไปก็รู้สึกขอบคุณ

ที่ได้มีโอกาสทำงานสองหน้าที่ เพราะช่วยบังคับให้ผมต้องฝึกฝนการแปลภาษาอังกฤษ

ให้ใช้การได้ และยังช่วยบังคับให้ผมต้องค้นคว้าตัวบทกฎหมายอีกมากมายเนื่องจาก

ไม่มีผู้ช่วยเมื่อกรรมการต้องการดูกฎหมายฉบับหนึ่งฉบับใดในระหว่างการประชุม

ผมจะต้องวิ่งไปหยิบมาให้กรรมการ ในการประชุมบางครั้งผมต้องเข้าออกจากห้องประชุม

ตั้ง ๒-๓ ครั้ง ด้วยความรู้สึกเบื่อและชิงชังต่อการต้องเสียเวลาออกจากห้องประชุม

ไปหยิบหนังสือ จึงได้ตั้งหลักท้าทายตัวเองว่า ในการประชุมแต่ละครั้งผมจะสามารถเตรียม

ตัวบทกฎหมายให้ครบถ้วนโดยไม่ต้องไปหยิบเพิ่มเติมอีกได้หรือไม่ ก่อนการประชุมหนึ่งวัน

ผมลองทำตัวเป็นกรรมการร่างกฎหมายนั่งอ่านนั่งพิจารณาร่างกฎหมายหรือปัญหาข้อ

กฎหมาย แล้วพิจารณาดูว่าจะต้องค้นคว้ากฎหมายฉบับใดบ้าง โดยวิธีนี้จึงช่วยลดการ

ออกไปหยิบหนังสือกฎหมายได้มาก และช่วยทำให้ผมรู้จักกฎหมายต่าง ๆ ได้มากยิ่งขึ้น

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมได้เสี่ยงทำงานแบบท้าทาย คือในระหว่างทำหน้าที่เลขานุการ

กรรมการร่างกฎหมาย คณะ ๒ ซึ่งมีหม่อมเจ้าสกลวรรณากร วรวรรณเป็นประธาน

พระยาอรรถกรมมนุตตี และนายพิชาญ บุลยง เป็นกรรมการ ผมได้พิจารณาปัญหา

การตีความกฎหมายซึ่งจะเข้าสู่การพิจารณาของกรรมการแล้ว เกิดความรู้สึกว่าเป็น

ปัญหาที่ง่ายแก่การพิจารณา ผมมั่นใจว่าความเห็นของผมคงจะตรงกับความเห็นของ

ที่ประชุมเพื่อรวบรัดผมได้เตรียมทำร่างบันทึกและคำแปลไว้เรียบร้อยพร้อมที่จะเสนอ

กรรมการได้จริงดังที่ผมคาดการพิจารณาปัญหากฎหมายดังกล่าวใช้เวลาไม่นาน

ก็แล้วเสร็จ เมื่อผมเห็นว่ายังมีเวลาเหลือ ผมได้ขออนุญาตท่านประธานขอเสนอ

ร่างบันทึกให้พิจารณาเสียเลยในวันนั้นกรรมการทุกท่านแปลกใจและยอมให้ผมเสนอ

ร่างบันทึกให้พิจารณาเสียเลยในวันนั้น กรรมการทุกท่านแปลกใจและยอมให้ผมเสนอ

ร่างบันทึกได้ เมื่อกรรมการได้อ่านแล้วก็เห็นว่าเป็นร่างบันทึกที่ตรงตามแนวมติของ

ที่ประชุม จึงได้ร่างแก้ไขถ้อยคำเสร็จในวันนั้น และได้ชมเชยในวิธีทำงานของผม

ซึ่งทำให้ผมเกิดความภาคภูมิใจมากนับตั้งแต่ได้รับราชการมา

                                ในสมัยที่ผมทำหน้าที่เลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย เลขานุการฯ

ไม่ค่อยมีโอกาสได้รับมอบหมายให้ยกร่างบันทึกหรือยกร่างตัวบทกฎหมาย เพราะที่ประชุม

มักจะมอบให้นายพิชาญ บุลยง เป็นผู้ยกร่างเสียส่วนใหญ่ เลขานุการฯคงเป็นแต่เพียง

ผู้แปลเป็นภาษาไทยสำหรับกรรมการ ประสบการณ์ในร่างกฎหมายจึงมีน้อยมาก แต่ผม

ยังโชคดีที่ได้มีโอกาสเป็นเลขานุการที่ปรึกษากฎหมายของหัวหน้าคณะปฏิวัติและของ

นายกรัฐมนตรีในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และจอมพลถนอม  กิตติขจร

เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีพระยาอรรถการีย์นิพนธ์ เป็นประธานที่ปรึกษา คณะที่ปรึกษา

กฎหมายขณะนั้นประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายจากหลายส่วนราชการ อาทิเช่น

จากศาลยุติธรรม มีนายสัญญาธรรมศักดิ์  หลวงวุฒิศักดิ์เนตินาท  จากศาลทหาร

มีพลโท ไสว ดวงมณี  พลโท อัมพรจินตกานนท์  พลโท สุข เปรุนาวิน  พันเอก จินดา

ณ สงขลา  จากกรมอัยการมี หลวงอรรถปรีชาชนูปการ  หลวงอรรถโกวิทวที  หลวงอรรถ

ไกวัลวที  นายเล็ก จุณณานนท์  และจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามี นายเสกล

บุณยัษฐิติ และผมเป็นเลขานุการฯ ผมได้รับความรู้ทางร่างกฎหมายจากคณะที่ปรึกษา

กฎหมายคณะนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะส่วนใหญ่จากพระยาอรรถการีย์นิพนธ์ ซึ่งท่าน

ได้กรุณาถ่ายทอด แนะนำ อบรมการทำงานเกี่ยวกับการร่างกฎหมาย  และแนวการเขียน

บันทึกความเห็นทางกฎหมาย นอกจากความรู้ที่ได้รับจากคณะที่ปรึกษากฎหมาย ผมยังได้

ประสบการณ์จากการเป็นกรรมาธิการสามัญชุดปกครองในระหว่างที่เป็นสมาชิกสภา

ร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการสามัญชุดปกครองเท่าที่ผมจำได้มีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์

เป็นประธาน พระยาสุนทรพิพิธ  หลวงประกอบนิติสาร  หลวงอรรถไกวัลวที  นายพ่วง

สุวรรณรัฐ  พลโทวิชัย พงษ์อนันต์  นายเล็ก จุณณานนท์  นายเสกล บุณยัษฐิติเป็น

กรรมาธิการ ในคณะกรรมาธิกการชุดนี้ผมได้รับความรู้ในการร่างกฎหมายเป็นอย่างมาก

และโดยเฉพาะส่วนใหญ่จากหลวงประกอบนิติสาร(ประกอบ บุณยัษฐิติ) ซึ่งเป็นพี่ชาย

คุณเสกลบุณยัษฐิติ อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา คุณหลวงประกอบนิติสาร

เป็นผู้มีอัจฉริยะในทางร่างกฎหมายอีกคนหนึ่ง ท่านเป็นผู้รอบรู้ทั้งกฎหมายไทยและ

กฎหมายต่างประเทศ มีประสบการณ์ในการพิจารณาพิพากษาเพราะได้เคยดำรงตำแหน่ง

ข้าหลวงยุติธรรมภาค ๙มาแล้ว มีความรู้ในหลักภาษาไทย และมีความละเอียดถี่ถ้วนใน

การใช้ถ้อยคำ วรรคตอน การแต่งประโยค และยังเป็นผู้กว้างขวางในทางสังคม เคยเป็น

นายกสมาคมลีลาศของประเทศไทย และนายกสมาคมกีฬายกน้ำหนัก และนายกสมาคม

อื่น ๆ ซึ่งทำให้การร่างกฎหมายแต่ละฉบับได้เป็นไปโดยรอบคอบรัดกุม

 

                                จากประสบการณ์ที่ได้รับจากการเป็นเลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย

ประมาณ ๒๐ ปี ทำให้ผมจับหลักการร่างกฎหมายได้ดังนี้

                                ในระดับการพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมาย ถ้าเป็นผู้มีความรู้รอบตัวหรือ

มีประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ มาก จะช่วยทำให้เห็นช่องโหว่ของร่างกฎหมาย หรือการ

ไม่บรรลุผลตามตัวหนังสือที่ได้เขียนไว้ได้ง่ายขึ้น การเป็นผู้มีความสันทัดจัดเจนในหลัก

ภาษาไทยจะช่วยให้การร่างกฎหมายนั้นถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ มีข้อความกระทัดรัด

ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่มีภาษาพูดมาปะปน มีถ้อยคำที่ถูกต้องตามกาลเวลาของสาระที่บัญญัติ

ไว้ในมาตราต่าง ๆ และมีความหมายที่แน่นอน การมีนิสัยละเอียดถี่ถ้วนจะช่วยทำให้

กฎหมายนั้นมีโครงสร้างที่ดี มีขั้นตอนเริ่มต้นและขั้นสุดท้ายทำนองเดียวกับหลักการ

ดำรงชีวิตของมนุษย์ และมีการใช้ถ้อยคำที่ไม่สับสนถ้อยคำที่ได้นำมาใช้ในความหมายใด

ในมาตราใด ก็จะนำไปใช้ในมาตราต่าง ๆ ที่ประสงค์จะให้มีความหมายเดียวกัน ไม่ใช่

ถ้อยคำสลับลักลั่นกันมีการจัดแบ่งข้อความออกเป็นวรรคเป็นมาตราได้อย่างเหมาะสม

ทำให้เข้าใจง่ายมีความต่อเนื่องระหว่างเหตุและผลของสาระสำคัญของกฎหมายแต่ละบท

หรือแต่ละหมวด การบัญญัติให้ต้องมีบทเฉพาะกาลตามความเหมาะสมของกฎหมาย

แต่ละฉบับ ความไม่หลงลืมในหลักของกฎหมายอาญาจะทำให้เกิดความคิดว่า ในกรณีใด

ควรขึ้นต้นร่างมาตราด้วยข้อความที่ว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำ...ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษ...”

หรือ “ผู้ใดกระทำการ....มีความผิด”

                                การปฏิบัติหน้าที่เลขานุการกรรมการร่างกฎหมายและเลขานุการคณะ

ที่ปรึกษากฎหมาย ทำให้ผมต้องคิดค้นหาวิธีทำงานให้เร็วทันอกทันใจกรรมการหรือ

ท่านที่ปรึกษา เมื่อผมเข้ารับหน้าที่เลขานุการฯ ใหม่ ๆ ภายหลังที่ผมได้ทำหน้าที่ผู้ช่วย

เลขานุการฯ เพียง ๖ เดือนและไม่เคยได้รับการอบรมวิธีปฏิบัติหน้าที่เลขานุการฯ ในระยะ

แรก ๆ ผมมีความประหม่าและกลัวถูกตำหนิมาก เพราะในวัยอายุ ๒๔–๒๕ ปี ต้องมา

ทำหน้าที่เลขานุการฯ กับกรรมการชั้นผู้ใหญ่ระดับสูงมีฐานันดรศักดิ์เป็นหม่อมเจ้า

มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวง คุณพระ และพระยาก็ย่อมจะต้องมีความพรั่นพรึงที่จะถูกตำหนิ

แต่ผมก็โชคดีที่กรรมการทุกท่านได้ให้ความเมตตาแก่ผมมาก ให้คำแนะนำแก่ผมทุกครั้งที่

ผมปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ผมเคยรู้สึกเสียใจและไม่สบายใจในการปฏิบัติหน้าที่เลขานุการฯ

อยู่ครั้งหนึ่ง คือในการพิจารณาร่างมาตราของกฎหมายฉบับหนึ่ง กรรมการแต่ละท่านต่างได้

แสดงความคิดเห็นว่าควรจะเขียนอย่างนี้ ควรจะใช้ถ้อยคำอย่างนั้น ควรจะเพิ่มความตอนนี้

ให้ชัดเจน โดยที่ผมยังใหม่ต่อหน้าที่ ผมก็ยังฟังท่านเพลิน และไม่ทราบว่าจะจดข้อความของ

กรรมการท่านใด เพราะผมรู้สึกว่าเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่อที่ประชุม ยังไม่มีข้อยุติ

เมื่อกรรมการท่านยุติการแสดงความคิดเห็นหรือการถกเถียงกันแล้ว มีกรรมการท่านหนึ่ง

ได้บอกให้ผมอ่านข้อความที่ท่านได้เสนอไว้ ผมเรียนท่านว่าผมจดไม่ทัน ท่านร้องว่า

“อ้าวแล้วกัน” และแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ยังมีกรรมการอีกท่านหนึ่งเห็นใจใน

ความใหม่ของผม ท่านได้กล่าวว่า “ก็เสนอกันตั้งหลายคนเสนอทีก็แย้งกันที เด็กจะไปจดทัน

ได้อย่างไร” เหตุการณ์ในที่ประชุมวันนั้น ทำให้ผมต้องค้นคิดวิธีทำงานให้ถูกใจกรรมการ

ในชั้นแรกคิดจะไปเรียนชวเลขภาษาไทย แต่หาสถานที่เรียนที่สะดวกไม่ได้เพราะประเทศ

อยู่ในภาวะสงคราม ได้ซื้อตำราชวเลขมานั่งอ่าน นั่งฝึกวิธีการให้เร็ว ในที่สุดได้คิดสร้าง

อักษรย่อขึ้นมาใช้เอง คำใดที่เห็นกรรมการใช้พูดบ่อย ๆ ก็สร้างอักษรย่อสำหรับคำนั้น

อย่างเช่นคำว่า“งบประมาณ” ผมตั้งอักษรย่อว่า “งปหรือคำว่า “ต้องขอใบอนุญาต”

ใช้อักษรย่อว่า“ตขอโดยวิธีผมสามารถจดคำกล่าวของกรรมการทุก ๆ ท่านได้ และ

สามารถอ่านให้กรรมการฟังได้เมื่อท่านต้องการ ในขณะที่ผมทำหน้าที่เลขานุการคณะ

ที่ปรึกษากฎหมายผมต้องนั่งใกล้ท่านเจ้าคุณอรรถการีย์นิพนธ์ซึ่งเป็นประธาน เมื่อท่าน

บอกให้ผมจด ผมก็จดตามท่านบอกโดยใช้อักษรย่อที่ผมคิดขึ้น เมื่อท่านให้ผมอ่าน

ผมก็อ่านให้ฟังได้ มีคราวหนึ่งท่านขอร่างที่ผมจดไปดู เพื่อท่านจะใช้ความคิดแก้ไขถ้อยคำ

ให้ดีขึ้น เมื่อท่านเห็นตัวอักษรที่ผมใช้จด ท่านยิ้ม ๆ และกล่าวว่า “อ้อจดแบบนี้ถึงจดได้เร็ว”

                                ผมนำเหตุการณ์ตอนหนึ่งของชีวิตเลขานุการของผมมากล่าวไว้ก็เพื่อ

ให้ผู้ทำหน้าที่เลขานุการรุ่นใหม่ได้เกิดความคิดที่จะปรับปรุงการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ผมอยาก

จะเล่าให้เพื่อนข้าราชการได้ทราบไว้ว่า ในสมัยก่อนกรรมการร่างกฎหมายส่วนมากท่าน

ค่อนข้างจู้จี้พิถีพิถันที่ท่านมีนิสัยเช่นนี้ก็เพราะท่านยังอยู่ในวัยหนุ่ม เท่าที่ผมสังเกตและ

ได้ยินได้ฟังมาบางท่านชอบลองภูมิเลขานุการคนใหม่ แต่เมื่อได้รับใช้นานเข้า ท่านก็ได้

ให้ความเอ็นดู ความสนิทสนม และความไว้วางใจ และเมื่อเวลาได้ล่วงเลยไป ๒๐ กว่าปี

ท่านกลับกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดี ชอบคุย ไม่ค่อยเข้มงวดพิถีพิถันในการร่างกฎหมาย

ประสบการณ์จากการเป็นเลขานุการของนายพิชาญ บุลยง (อาร์ กียอง) ที่ปรึกษา

กฎหมาย

                                โดยที่ผมมีความคุ้นเคยกับบรรดาที่ปรึกษากฎหมายชาวต่างประเทศ

มาตั้งแต่เริ่มเข้าทำงานในหน้าที่ผู้ช่วยบรรณารักษ์ ในปี พ.. ๒๔๙๐ ผมได้รับมอบหมาย

ให้ทำหน้าที่เลขานุการของนายพิชาญ บุลยง อีกตำแหน่งหนึ่งนอกเหนือจากหน้าที่

เลขานุการกรรมการร่างกฎหมาย

                                การปฏิบัติหน้าที่เลขานุการของนายพิชาญ บุลยง ก็คือการแปล

เอกสารต่าง ๆที่ไม่เกี่ยวกับราชการของคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วยปากเปล่าให้

นายพิชาญฯ ทราบ และติดตามนายพิชาญเพื่อทำหน้าที่ล่ามในระหว่างการประชุม

คณะกรรมาธิการของรัฐสภา นายพิชาญฯ นอกจากจะเป็นที่ปรึกษากฎหมายของ

คณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว  ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร

หรือวุฒิสภา หลายคณะ รวมทั้งเป็นกรรมการสภากาชาดไทยด้วย ฉะนั้น เอกสารที่

จะต้องแปลด้วยปากเปล่าจึงมีมาก เหตุที่นายพิชาญฯให้แปลด้วยปากเปล่าก็เพื่อ

ความรวดเร็ว ถ้าแปลแล้วพิมพ์จะเสียเวลามากอาจไม่ทันในการประชุมของคณะ

กรรมาธิการ นายพิชาญฯ จะจดคำแปลไว้เฉพาะในส่วนที่เป็นสาระสำคัญฉะนั้น

ในการแปลเอกสาร ผู้แปลจะต้องศึกษาก่อนแปลด้วยปากเปล่าว่าตอนใดเป็น

สาระสำคัญเท่าที่ผมได้ปฏิบัติมาผมจะแปลย่อสรุปเนื้อหาของเอกสารนั้น ๆ ก่อน

แล้วจึงแปลรายละเอียดในตอนที่เป็นสาระสำคัญ หรือถ้านายพิชาญฯ สงสัยตอนใด

ก็จะต้องแปลตอนนั้นให้ละเอียดเรื่องการแปลด้วยปากเปล่านี้ ทำความยุ่งยากลำบากใจ

แก่ผมมาก เพราะผมเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาเอกและภาษาอังกฤษเป็นภาษาโท

แต่เวลาแปลต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ ในระยะแรกผมต้องใช้ทั้งสองภาษาควบกัน

คำใดนึกเป็นภาษาอังกฤษไม่ออกก็ใช้ภาษาฝรั่งเศสแทน ซึ่งนายพิชาญฯ ก็ไม่ว่ากระไร

ภารกิจในหน้าที่เลขานุการของนายพิชาญฯ บังคับให้ผมต้องฝึกฝนภาษาอังกฤษให้ดียิ่งขึ้น

ทำให้ผมต้องค้นเรื่องต่าง ๆ ที่ผ่านการพิจารณาของกรรมการร่างกฎหมายคณะต่าง ๆ และ

มีคำแปลภาษาอังกฤษแล้วนำมานั่งอ่าน นั่งท่อง และจดจำถ้อยคำที่เห็นว่าจะต้องใช้เสมอ

                                ผมได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่เลขานุการของนายพิชาญฯ ก็คือ

ภาษาอังกฤษดีขึ้น ส่วนภาษาฝรั่งเศสเกือบจะไม่ได้ใช้เท่าใด เพราะนายพิชาญฯ จะสั่งการ

หรือพูดคุยด้วยภาษาอังกฤษเสมอ นาน ๆ จึงจะพูดภาษาฝรั่งเศสสักครั้ง นอกจากจะได้

ความรู้ทางด้านภาษาแล้วผมยังได้เห็นแบบอย่างการทำงานที่มีระเบียบของนายพิชาญ

อีกด้วย นายพิชาญฯ เป็นผู้ซึ่งไม่ชอบใช้สมองจำเรื่องงาน ทุกครั้งที่เสร็จจากการประชุมไม่ว่า

จะเป็นตอนเที่ยงหรือตอนเย็น นายพิชาญฯ จะต้องรีบบันทึกผลการประชุม ความคิดเห็น

ของที่ประชุม มติของที่ประชุม และความเห็นของตนเองเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ไว้ในแฟ้มเรื่อง

ทุก ๆ ครั้งที่มีการประชุมเมื่อเรื่องใดได้ผ่านการพิจารณาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายพิชาญฯ

จะเรียบเรียงเอกสารเรื่องเสร็จตามลำดับวันที่ด้วยตนเอง แล้วส่งให้ผมไปดำเนินการให้

กรมเย็บเล่มเก็บไว้ใช้ในห้องทำงานของนายพิชาญ

                                ความสามารถของนายพิชาญฯ อีกประการหนึ่งที่ผมศรัทธา ก็คือการ

เขียนร่างบันทึกความเห็นเพื่อเสนอต่อที่ประชุมกรรมการร่างกฎหมาย หรือที่ประชุม

คณะกรรมการอื่น ๆ บันทึกแต่ละเรื่องซึ่งมีความยาว ๘-๙ หน้า นายพิชาญฯจะเขียน

รวดเดียวเสร็จภายในเวลา ๑-๒ ชั่วโมง ถ้าตอนใดติดขัดคิดไม่ออก ก็จะนั่งพิงพนักเก้าอี้

ใช้ความคิดอยู่ชั่วขณะแล้วเขียนต่อ ไม่นิยมเดินคิดไปคิดมา และชอบใช้ดินสอดำเขียน

เป็นประจำ ดินสอที่เตรียมไว้ให้จะต้องไม่เหลาให้แปลม เพราะเป็นคนเขียนลงเส้นหนัก

ผู้ที่สามารถเขียนบันทึกได้รวดเร็วในระยะเวลาติดต่อกัน ๑-๒ ชั่วโมง โดยไม่หยุดพัก

เพื่อใช้เวลาคิด เท่าที่ผมได้พบเห็นและนิยมนับถือมาก นอกจากนายพิชาญ บุลยง

แล้วก็มีท่านเจ้าคุณอรรถการีย์นิพนธ์ อีกท่านหนึ่งผมได้ประจักษ์ในความอัจฉริยะ

ของท่านเมื่อผมเป็นเลขานุการที่ปรึกษากฎหมายและท่านเจ้าคุณอรรถการีย์นิพนธ์

เป็นประธานที่ปรึกษากฎหมาย มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านเจ้าคุณให้ผมเป็นผู้เขียน ส่วนท่าน

เป็นผู้บอก ผมได้จดตามคำบอกของท่านเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงกว่ามีความยาว๖-๗ หน้า

กระดาษฟุลสแก๊ป คำบอกเกิดจากสมองของท่านล้วน ๆ ท่านไม่มีกระดาษบันทึกโครงร่าง

หรือแนวของการเขียนบันทึกเพื่อใช้ประกอบคำบอก เมื่อเขียนเสร็จแล้วท่านจะให้ผมอ่าน

ออกเสียงดัง ๆ ท่านคอยฟังว่าตอนใดใช้ถ้อยคำเหมาะสมสละสลวยหรือไม่วรรคตอน

ถูกต้องหรือไม่ นอกจากนายพิชาญ บุลยง และท่านเจ้าคุณอรรถการีย์นิพนธ์ ก็ยังมี

ดร.หยุด แสงอุทัย อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาอีกท่านหนึ่งที่เขียนบันทึกได้เร็ว

และสามารถเขียนหนังสือหรือคำบรรยายกฎหมายได้ทุกขณะไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างเวลา

ประชุม หรือในระหว่างที่มีเพื่อนสนิทมาพบปะสนทนาอยู่ด้วย ท่านสามารถที่จะเขียนไป

คุยไปด้วยในขณะเดียวกัน

                                สรุปแล้ว การปฏิบัติหน้าที่เลขานุการของนายพิชาญ บุลยง ได้ทำให้ผม

ได้รับความรู้เพิ่มพูนในด้านภาษาอังกฤษ การค้นหนังสือกฎหมายทั้งภาษาฝรั่งเศสและ

ภาษาอังกฤษรวมทั้งระเบียบการทำงานด้วยวิธีบันทึกเป็นหนังสือแทนการอาศัยความจำ

 

ประสบการณ์จากการเป็นกรรมการร่างกฎหมาย

                                ผมได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการร่างกฎหมายใน พ.. ๒๕๐๘ และเป็น

กรรมการร่างกฎหมายในคณะหรือกองที่ ๒ ตลอดมา ในตอนนี้ต้องขออนุญาตบันทึก

ไว้ตรง ๆ ว่าหลักการร่างกฎหมายที่ผมได้รับในระหว่างเป็นเลขานุการคณะที่ปรึกษา

กฎหมาย คณะกรรมาธิการหรือคณะกรรมการอื่น ๆ และผมได้ยึดถือปฏิบัติมานั้น

ได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปในระหว่างที่เป็นกรรมการร่างกฎหมายหลายประการด้วยกัน

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นและเพราะเหตุใด ต้องขอเรียนตรง ๆ ว่าเพราะระบบการประชุมเป็น

คณะนั้น ต้องถือเสียงข้างมากเป็นสำคัญ ผมไม่แน่ใจว่าหลักการร่างกฎหมายหรือแนว

ความคิดในกฎหมายของผมที่ผมได้รับถ่ายทอดมาจะถูกต้องเสมอไปหรือผิดเสมอไป

แต่เมื่อเสียงข้างมากมีอย่างไรก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น และจากความรู้สึกดังกล่าวนี้

ทำให้ผมได้หลักปฏิบัติอีกประการหนึ่ง คือ การทำจิตใจให้เป็นกลาง ไม่ยึดมั่นในความเห็น

ของตนเองว่าดีกว่าของคนอื่น หรือถือว่าความเห็นของคนอื่นไม่ดีกว่าเรา เมื่อได้แสดง

ความคิดเห็นอย่างไรไปแล้วก็แล้วกันไป การจะเป็นประการใดสุดแล้วแต่เสียงข้างมาก

ของที่ประชุม แต่ก็มีบางเวลาที่เกิดความรู้สึกเป็นห่วงข้าราชการรุ่นใหม่ในภายหน้าว่า

เขาจะศึกษาความถูกต้องของเหตุผลของฝ่ายข้างมากได้อย่างไรถ้าหากปรากฏในรายงาน

การประชุมแต่ละคราวว่ามีผู้แสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนน้อย แต่เมื่อลงคะแนนเสียง

แล้วกลายเป็นฝ่ายข้างมากไป และผู้แสดงความคิดเห็นจำนวนมากแต่เป็นฝ่ายข้างน้อย

ผู้ต้องการศึกษาความคิดเห็นในการตีความหรือการแปลกฎหมายจะมีโอกาสน้อยมาก

สำหรับการแสดงความคิดเห็นที่พึงยึดเป็นหลักได้ และจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อระบบ

การประชุมที่เสียงข้างมากเป็นเสียงที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็น

 

ประสบการณ์ในการเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

                                ผมได้รับแต่งตั้งให้เป็นเลขาธิการเมื่อ พ.. ๒๕๑๑ หลังจากได้ดำรง

ตำแหน่งรองเลขาธิการอยู่ ๒ ปี เมื่อได้รับแต่งตั้งใหม่ ๆ ผมได้รับคำแนะนำจากข้าราชการ

ชั้นผู้ใหญ่ซึ่งคุ้นเคยสนิทสนมในระหว่างที่เป็นนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

และในระหว่างที่ผมรับการอบรมเป็นนักบริหารตามหลักสูตรของสถาบันบัณฑิต

พัฒนบริหารศาสตร์ให้ผมปรับปรุงการพิจารณาร่างกฎหมายต่าง ๆ ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น

จากคำแนะนำดังกล่าวทำให้ผมระลึกถึงคำตัดพ้อต่อว่าของเพื่อนข้าราชการบางคน

ซึ่งเคยมาร่วมประชุมกับกรรมการร่างกฎหมายคณะต่าง ๆ ในฐานะผู้แทนกระทรวง ทบวง

กรมว่า เขามีความเบื่อหน่ายต่อการมาร่วมพิจารณาร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะ

กรรมการกฤษฎีกา เพราะการพิจารณาเป็นไปอย่างอืดอาดล่าช้า กรรมการร่างกฎหมาย

คณะหนึ่งบอกว่าต้องเขียนกฎหมายแบบนี้กรรมการร่างกฎหมายอีกคณะหนึ่งบอกว่า

ต้องเขียนกฎหมายแบบนั้น ในฐานะที่เขาเป็นนิติกรประจำกรม มีหน้าที่ยกร่างกฎหมาย

ตามความต้องการของกรม เลยเกิดความลังเลใจไม่ทราบว่าจะเลือกเขียนแบบไหนดี

ผมได้รับฟังแล้วก็เกิดความคิดที่จะต้องแก้ไขหรือขจัดความไม่พอใจของผู้แทนที่มา

ร่วมประชุมให้หมดไปหรือลดน้อยลงไปให้ได้ ผมต้องยอมรับว่าการพิจารณาร่างกฎหมาย

ของสำนักงานฯ ก่อนที่ผมดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นล่าช้ามาก

เมื่อผมเข้ารับงานในหน้าที่เลขาธิการฯ ผมตรวจสอบจำนวนร่างกฎหมาย และเรื่องขอให้

ตีความในปัญหาข้อกฎหมาย ปรากฏว่ามีเรื่องค้าง ๗๐ กว่าเรื่องบางเรื่องรอคอยเข้าวาระ

เกินกว่าหนึ่งปี ผมได้แก้ไขโดยมอบให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานฯ ซึ่งมีประสบการณ์

และความรู้ในการร่างกฎหมายไม่แพ้กรรมการร่างกฎหมายเป็นผู้พิจารณาร่างกฎหมาย

ที่ต้องการพิจารณาในด้านความถูกต้องของแบบกฎหมาย แต่ละประเภท และถ้ามีปัญหา

ผมจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชี้ขาดหรืออาจส่งให้กรรมการร่างกฎหมายคณะหนึ่งคณะใด

เป็นผู้พิจารณาก็ได้ การแก้ไขโดยวิธีนี้ช่วยระบายร่างกฎหมายที่เป็นพระราชกฤษฎีกา

หรือกฎกระทรวง ออกจากสำนักงานฯ ได้เร็วขึ้นเป็นจำนวนมาก ผมได้ใช้วิธีนี้ตลอดมาใน

ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการฯ และได้รับความชมเชยจากผู้แทนของส่วนราชการต่าง ๆ

ว่างานเร็วขึ้น นอกจากนี้ผมยังได้ขยายไปถึงการพิจารณาร่างกฎหมายบางฉบับที่ด่วนมาก

และไม่มีปัญหาในทางกฎหมายมาก โดยผมขอรับผิดชอบเป็นผู้พิจารณาร่วมกับ

รองเลขาธิการฯ หรือกรรมการร่างกฎหมายประจำ ซึ่งปรากฏว่าเป็นที่พอใจของรัฐมนตรี

และอธิบดีหลายคน การปฏิบัติราชการดังกล่าวเป็นต้นกำเนิดของการใช้คำว่า“คณะ

รัฐมนตรีได้ลงมติรับหลักการแห่งร่างฯ .. และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

ตรวจพิจารณา” แทนคำว่า “ส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา (ซึ่งหมายถึงกรรมการ

ร่างกฎหมาย)พิจารณา” และผมได้มอบให้เป็นหน้าที่ของกองกฎหมายไทยในอันที่จะ

รวบรวมแบบกฎหมายให้ครบถ้วน โดยแยกประเภทเป็นพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม

พระราชกฤษฎีกา และกฎกระทรวง ในปัจจุบันกล่าวได้ว่ากองกฎหมายไทยในสำนักงาน

คณะกรรมการกฤษฎีกามีความรู้ ความชำนาญในการตรวจแบบของแผนที่ท้าย

กฎกระทรวงได้เป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่กองกฎหมายไทยเคยตรวจพบแผนที่ท้ายของ

ร่างกฎกระทรวงหลายฉบับที่มีอาณาเขตทับกับแผนที่ของกฎกระทรวงที่ประกาศใช้ไปแล้ว

หรือเขียนชื่ออำเภอ ตำบล หมู่บ้านไม่ถูกต้องตรงตามทำเนียบการปกครองท้องที่ของ

กระทรวงมหาดไทย นอกจากนี้ ผมยังได้มอบให้ข้าราชการในกองกฎหมายไทยช่วยกัน

รวบรวมแบบการร่างกฎหมายขึ้นไว้ เช่นการให้ใช้บังคับกฎหมายมีกี่แบบ การยกเลิก

กฎหมายมีกี่แบบ การใช้ข้อความ “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา ...” ได้ใช้ใน

ลักษณะอย่างไร อำนาจเปรียบเทียบในรูปคณะกรรมการมีกี่ฉบับ อัตราโทษเท่าใด

ที่กฎหมายได้บัญญัติให้เปรียบเทียบได้แบบของบทเฉพาะกาล  รวมทั้งการให้รวบรวม

กฎหมายประเภทเดียวกัน เช่น พระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ ประกาศซึ่งออกตามกฎหมาย

ว่าด้วยการบริหารราชการในยามฉุกเฉิน คำสั่งของคณะปฏิวัติเท่าที่เคยมีมา ฯลฯ

ในปัจจุบันกล่าวได้ว่า กองกฎหมายไทยได้ช่วยรวบรวมแบบของกฎหมายต่าง ๆ ไว้เป็น

จำนวนมาก และถ้าหากได้ปรับปรุงและเร่งรัดการทำงานให้ต่อเนื่องตลอดจน จะทำให้งาน

ตรวจแบบและการร่างกฎหมายของสำนักงานฯ มีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น

                                ในด้านกองกฎหมายต่างประเทศ ผมได้ขอให้รวบรวมแบบคำแปลภาษา

อังกฤษซึ่งใช้อยู่ในกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งการเทียบเคียงกับถ้อยคำที่ใช้ในกฎหมายของ

บางประเทศ เช่น กฎหมายของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ  ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

น่าเสียดายที่กองกฎหมายต่างประเทศมีอัตรากำลังน้อย จึงไม่สามารถทำหน้าที่แปล

กฎหมายในราชกิจจานุเบกษาได้ทุกฉบับ จะแปลให้ก็ต่อเมื่อมีส่วนราชการขอมา ซึ่งแตกต่าง

กับสมัยที่ผมเริ่มเข้าทำงาน ในสมัยนั้นสำนักงานฯจะต้องมีคำแปลกฎหมายทุกฉบับเพื่อ

ประโยชน์ของที่ปรึกษากฎหมายชาวต่างประเทศ มีผู้เชี่ยวชาญในการแปลอยู่ ๒ ท่านคือ

พระพินิจพจนาถและหลวงดุลยศาสตร์ปฏิเวท โดยเฉพาะคุณพระพินิจพจนาถ ท่านมี

ความสามารถแปลกฎหมายได้โดยไม่ต้องร่าง กล่าวคือท่านแปลพร้อมกับพิมพ์ไปเลย

เมื่อแปลจบก็ใช้ได้

                                ผมจะไม่กล่าวในบทความนี้ให้ยืดยาวออกไปอีกว่า ในระหว่างที่ผมดำรง

ตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผมได้ทำอะไรให้แก่สำนักงานนี้บ้าง ผมขอจบ

บทความนี้โดยสรุปความรู้สึกของผมไว้ดังนี้

๑.      ผมภูมิใจเข้าทำงานในสำนักงานนี้ โดยเริ่มต้นจากการเป็นผู้ช่วย

บรรณารักษ์ทำให้ผมได้มีโอกาสได้สัมผัสกับตำรากฎหมายทั้งไทยและเทศ ได้ทำงานใกล้ชิด

กับชาวต่างประเทศ ทำให้ผมมีโอกาสพูดภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส และเป็นประโยชน์

อย่างมากเมื่อผมไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส

๒.      การรับราชการเป็นพนักงานพิมพ์ดีดภาษาอังกฤษ ทำให้ภาษา

อังกฤษของผมดีขึ้น มีความเคยชินกับการเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษ จนมีนิสัยชอบใน

พจนานุกรมและยังช่วยให้ผมใช้วิชาพิมพ์ดีดในการพิมพ์วิทยานิพนธ์ของผมในระหว่างที่

ศึกษากฎหมายอยู่ในประเทศฝรั่งเศส

๓.      การทำหน้าที่เลขานุการกรรมการร่างกฎหมายและเลขานุการคณะ

ที่ปรึกษากฎหมาย ช่วยทำให้ผมเกิดความแตกฉานในวิชาร่างกฎหมาย และสอนให้ผมมี

นิสัยชอบศึกษาค้นคว้าการทำงานไว้ล่วงหน้า เพื่อความสะดวกและความรวดเร็วในการ

ปฏิบัติหน้าที่ของตนเอง

๔.      การทำหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาก็เช่นเดียวกัน

ช่วยทำให้ผมได้มีโอกาสเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งให้ทั้งคุณและโทษแก่ตัวผม

แต่ในระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นเวลา ๑๑ ปีกว่า

ผมได้รับความอบอุ่นจากน้ำใจของเพื่อนข้าราชการที่ให้ความช่วยเหลือและความร่วมมือ

แก่ผมอย่างมากที่สุด และในขณะเดียวกันได้ช่วยสอนให้ผมเลิกยึดมั่นในความคิดเห็น

ของตนเอง ปล่อยให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก หรือตามความคิดเห็นของผู้มีอำนาจที่จะ

ชี้ขาดที่อยู่ในระดับสูงกว่าผม คงเหลืออยู่แต่ความหวังที่ผมอยากเห็นต่อไป คือ

การเผยแพร่แนวความคิดของกรรมการกฤษฎีกาให้ข้าราชการในสำนักงานคณะ

กรรมการกฤษฎีกาได้ศึกษาและยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา รวมทั้งความหวังที่จะได้เห็นการพัฒนาสำนักงาน

แห่งนี้ทุก ๆ ด้าน

 


 

 

 

 

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57

ร่างกฏหมายที่น่าสนใจ
ความเห็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ 
งานวิจัย
บทความทางกฎหมาย
บุคลากร
จัดซื้อ / จัดจ้าง
กฤษฎีกาสาร  
ข่าวประชาสัมพันธ์
สำนักกฎหมายปกครอง
  
บริการอื่น ๆ
เสนอแนะ - ติชมเว็บไซต์



สำหรับทำให้ IE เปิดไฟล์ TIFF ได้
© สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๕ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  
เว็บไซต์นี้เหมาะสำหรับจอภาพขนาด 1,024 x 768 พิกเซล