หน้าหลัก > ข่าวสารและผลงาน> บทความทางกฎหมาย
คำบรรยาย เรื่อง ทำอย่างไรจึงจะเป็นนักร่างกฎหมายที่ดี (นายมีชัย ฤชุพันธุ์)

คำบรรยาย

 

เพื่อนข้าราชการ

 

                                นับว่าเป็นความริเริ่มของสำนักงานที่จัดให้มี In-service Training

ในลักษณะอย่างนี้ เพราะว่าในสมัยก่อนที่รุ่นพวกผมมาทำงานที่นี่จะไม่มี ต่างคนต่างก็

เรียนรู้กันเอาเองแล้วก็ช่วยตัวเอง เรียนรู้จากผู้หลักผู้ใหญ่ ก็ได้บ้างเสียบ้าง แต่บังเอิญ

สมัยก่อนคนน้อย ถึงจะเล่นหัวกันอย่างไรก็ยังได้ความรู้เพิ่มพูนขึ้นมาบ้างตามสมควร

เพราะจริง ๆ แล้วงานร่างกฎหมายเป็นทั้งศาสตร์และเป็นทั้งศิลป์ ที่ว่าเป็นศาสตร์ เพราะ

ว่ามีกฎเกณฑ์ กติกา ที่เรียนรู้กันได้ พิสูจน์กันได้ เพียงแต่ไม่ได้พิสูจน์ในลักษณะเคมี จะ

พิสูจน์ในด้านของความหมายแห่งผลแห่งการเขียนกฎหมายว่า ถ้าเราเขียนอย่างนั้นแล้ว

ผลจะออกมาเป็นอย่างไร กฎเกณฑ์ กติกา เหล่านั้น ก็เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งวางกันต่อ ๆ มา

เป็นรุ่น ๆ มีวิวัฒนาการบ้างตามแต่วิวัฒนาการของโลก และวิวัฒนาการของตัว

กฎหมายนั้นเอง ที่ว่าเป็นศิลป์ก็เพราะว่าจริง ๆ นั้นไม่สามารถจะเรียนรู้ได้ในเร็ววัน ใน

ทันทีทันใด อย่างที่ใครคนใดคนหนึ่งต้องการ เป็นเรื่องที่จะต้องอาศัยความชำนาญการ

ค่อย ๆ เรียนรู้ และที่สำคัญก็คือ ทักษะของคนที่จะมาเป็นนักร่างกฎหมายว่ามีทักษะ

ทางด้านนี้หรือไม่ บางคนอาจจะทำงานด้านกฎหมายเป็น ๒๐ ปี ๓๐ ปี แต่เขียน

กฎหมายออกมาก็ไม่เป็นกฎหมาย บางคนทำงานเพียง ๒ ปี ๓ ปี เขียนออกมาก็เป็น

กฎหมาย ถ้าเราอยากจะรู้ว่าเราพอทำงานที่นี่สักระยะหนึ่งแล้วเรามีทักษะในการทำงาน

ร่างกฎหมายหรือไม่ เราลองเขียนกฎหมายเล่น ๆ อะไรขึ้นมาสักฉบับหนึ่ง เช่น พระราช

บัญญัติว่าด้วยการห้ามไว้ผมยาวของผู้ชาย อย่างนี้เป็นต้น เขียนโดยไม่ต้องดูแบบ เขียน

เสร็จแล้วก็ให้เพื่อนตรวจ แล้วให้เพื่อนถาม ถ้ามีคำถามที่เรายังไม่ได้ตอบอยู่ในนั้นเกิน

๑๐ คำถาม มีแบบที่เขียนไม่ถูกต้องเกิน ๕ จุด ก็แปลว่าทักษะของเรายังไม่ดีพอ สิ่งเหล่า

นี้เป็นสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ ค่อย ๆ สะสม ไม่สามารถจะดีดนิ้วแล้วก็รู้ได้เอง หรือว่าเก่งได้

เอง ในส่วนที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์กติกาในการร่างกฎหมายนั้นคนที่จะเป็นนักร่างกฎหมาย

ได้นี่ ต้องมีความรู้พื้นฐานกว้างขวางพอสมควร ในเบื้องต้นจะต้องรู้รูปแบบของกฎหมาย

ว่าในแต่ละรูปแบบเขาใช้สำหรับกรณีใด ทำไมเขาจึงใช้รูปแบบอย่างนั้นถ้อยคำต่าง ๆ ที่

ใช้กันในกฎหมายมีความหมายอย่างไร กว้างแคบแค่ไหน เปลี่ยนแปลงได้หรือไม่วิธีการ

เขียนของกฎหมาย sequence ของกฎหมาย ผลบังคับ บทลงโทษ บทเฉพาะกาล อะไร

ต่าง ๆ เหล่านี้ จะต้องเป็นเรื่องซึ่งต้องเรียนรู้ แต่โดยสรุปที่ว่าคนที่จะเป็นนักร่างกฎหมาย

ได้จะต้องมีความรู้กว้างขวางนั้น จะต้องรู้อะไรบ้าง อย่างน้อยที่สุดจะต้องรู้ใน ๗ เรื่อง

                        เรื่องที่ ๑  คือ ต้องรู้หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ หลักกฎหมายปก

ครอง และหลักนิติธรรม ๓ หลักนี้จะต้องเป็นสิ่งที่นักกฎหมายจะต้องรู้อย่างขึ้นใจ และรู้

อย่างหยิบมาใช้ได้เพราะอย่างที่เราเรียนมากันในเบื้องต้นจากในมหาวิทยาลัย เราก็รู้ว่า

กฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นเป็นกฎหมายสูงสุด อะไรที่ไปขัดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญก็ใช้

บังคับไม่ได้ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญเองก็จะแฝงด้วยหลักกฎหมายปกครอง หลักนิติ

ธรรมอยู่ในตัวด้วย แต่บางทีก็ไม่หมดถึงแม้จะเขียนให้ละเอียดอย่างไรก็ไม่หมด เพราะ

ฉะนั้นหลัก ๒ หลักเราจึงจะต้องรู้นอกเหนือไปจากที่มีอยู่ในรัฐธรรมนูญ เพื่อที่ว่าเวลาเรา

ร่างกฎหมายออกมาแล้วจะได้ไม่ขัดกับกฎหมายเหล่านั้น

                        เรื่องที่ ๒  คือ จะต้องรู้โครงสร้างของการบริหารราชการแผ่นดิน นี่ก็

ของไม่ยากอ่านดูก็คงจะพอเข้าใจ ว่าโครงสร้างการบริหารราชการแผ่นดินมีอยู่อย่างไร

มีกระทรวง ทบวง กรม อย่างไร Hierarchy เป็นอย่างไร และที่สำคัญที่ต้องรู้และจดจำ

ให้แม่นก็คือ กระบวนการในการทำงานของระบบราชการไทยซึ่งเป็นอยู่จริง ไม่ใช่ที่ควร

จะเป็น ถามว่าทำไมเราต้องรู้ ที่ต้องรู้เพราะว่า ถ้าเราไม่รู้หรือไม่ยอมรับความจริงในสิ่ง

เหล่านี้ เวลาเราเขียนกฎหมาย เราก็จะเขียนตามทฤษฎี เราไม่คำนึงถึงว่าแล้วราษฎรจะ

ลำบากมากน้อยแค่ไหน คำว่าราษฎรนี่อย่าไปนึกถึงตาสีตาสา นึกถึงตัวเราเองด้วย

เพราะเวลาเราออกจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วเราก็คือราษฎรคนหนึ่ง

เดินไปข้างนอกเราอาจจะไปถูกรถชน อาจจะต้องไปติดต่อกับตำรวจเราจะต้องไปติดต่อ

กับนายทะเบียนที่ไหน เราก็คือราษฎรคนหนึ่ง ถ้าเราไม่ระมัดระวัง เราไม่รู้ว่าการทำงาน

ของราชการจริง ๆ เป็นอย่างไร เราเขียนกฎหมายตามทฤษฎี ขึ้นต้นก็ต้องบอกว่าห้ามไม่

ให้ผู้ใดกระทำอะไรเว้นแต่จะได้รับอนุญาต แล้วเราจะไปพบว่าสิ่งเหล่านั้นคือเครื่องมือ

ฆ่าคน เครื่องมือทำให้คนลำบาก แต่ถ้าเรารู้ว่าระบบราชการจริง ๆ เขาทำงานกันอย่างไร

มีขั้นตอนอย่างไร กว่าจะผ่านจากโต๊ะหนึ่งไปถึงอีกโต๊ะหนึ่งเป็นอย่างไร เวลาเราร่าง

กฎหมาย เรานึกถึงสิ่งเหล่านี้ เราจะทำให้สั้นเข้า เพราะกฎหมายเป็นแม่บท เป็นกฎ

กติกาที่สังคมจะต้องปฏิบัติตาม เราในฐานะที่จะเป็นผู้เขียนกฎกติกาสังคมนั้น เรามี

โอกาสมีทางเลือกที่จะทำให้กติกานั้นเป็นกติกาที่ดี ที่งาม จะให้โปร่งใสอย่างไร จะให้ลัด

ขั้นตอนอย่างไร ก็ทำกันเสียที่ตรงกติกาแต่ถ้าเราไม่รู้ว่าราชการเขาทำงานกันอย่างไร

กติกาที่เราเขียนมาก็ใช้ไม่ได้ รังแต่จะเป็นภัย

                        เรื่องที่ ๓  คือ เรื่องประเพณีและวัฒนธรรมของไทย เพราะว่าถ้าเรา

ไม่รู้วิถีชีวิตของคนไทย ไม่รู้วัฒนธรรมของไทย เวลาเราเขียนกฎหมายแล้วเราลอกมา

จากต่างประเทศ ซึ่งมีวิธีคิดกันคนละอย่าง มีวิถีชีวิตกันคนละอย่าง พอมาก็ใช้ไม่ได้ ใช้

แล้วก็ไม่เกิดผล  แต่ถ้าเรารู้หลักประเพณี รู้หลักวัฒนธรรมไทย เราก็เอาสิ่งเหล่านั้นมา

ปรับเข้า เพื่อให้เข้ากับประเพณีและวัฒนธรรม และวิธีคิดของไทย กฎหมายถึงจะเกิด

ประสิทธิผล เกิดประสิทธิภาพ ไปดูกฎหมายโบราณ ๆ เถอะ เขาจะมีคำปรารภยาว

เหยียดถึงประเพณีที่มาของวิธีดำรงชีวิตของคน แล้วการดำรงชีวิตอย่างนั้นทำให้เกิดผล

อะไรขึ้น และทำไมจึงต้องมีกฎหมายนั้น ๆ อ่านแล้วจะซึ้งเลยว่า อ้อ! วิธีคิดเขาคิดกัน

อย่างนั้น ถ้าเราไม่รู้สิ่งเหล่านี้ เราออกกฎหมาย เราก็จะได้แต่เลียนแบบมาจากต่าง

ประเทศ จะมีกฎหมายหลายฉบับถ้าเรากลับไปอ่านดู ถึงแม้ว่าเราจะเป็นนักร่างฎหมาย

เราก็จะพบว่าลอกเลียนแบบเขามาโดยที่ไม่ได้นึกถึงเลยว่าคนไทยทำงานอย่างไร แล้วก็

จะสร้างปัญหา กฎหมายหลายฉบับในระยะหลังจะเป็นกฎหมายที่ค่อนข้างจะเป็นไป

ตามยุคโลกาภิวัฒน์ที่เลียนแบบมาจากกฎหมายของประเทศต่าง ๆ แล้วบางทีก็ไม่ได้คิด

ต่อ แปลเอามาเลย เพราะฉะนั้นภาษาก็จะเป็นภาษาค่อนข้างจะวิบัติไปตามภาษาที่

แปลมา  ที่สำคัญก็คือว่า เมื่อไปลอกเลียนแบบมาก็จะลืมนึกถึงความเป็นจริงของระบบ

ราชการไทย วิธีคิด วิถีชีวิตของคนไทย กฎหมายเหล่านั้นจะเป็นพิษเป็นภัยในวันข้าง

หน้า ไปดูกฎหมายฟอกเงินที่กำลังอยู่ในสภาจะรู้ว่านั่นคือหายนะในวันข้างหน้า เพราะ

กฎหมายฟอกเงินจะอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า ข้าราชการดีพร้อม มีความซื่อสัตย์สุจริต มี

ความเที่ยงธรรม มีความตรงไปตรงมา ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตัวนั้นก็คือระเบิดเวลาถ้าเรานึก

ว่าจริง ๆ เราไม่ได้ถึงขั้นนั้น การเขียนกฎหมายต้องเขียนอีกแบบหนึ่งไม่ใช่เขียนอย่างนั้น

                        เรื่องที่ ๔  คือ หลักแห่งการร่างกฎหมาย นี่เป็นวิชาที่ต้องไปเรียนกัน

เข้าใจว่าที่นี่ก็คงมีการบรรยาย คงบรรยายกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายครั้ง จำได้บ้างไม่ได้

บ้าง ซึ่งคงต้องว่าเป็นอีกวิชาหนึ่งต่างหาก แต่ถ้าใครทำงานในกองกรรมการยกร่าง

กฎหมายทั้งหลาย ก็เป็นแหล่งที่จะเรียนรู้ได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าสนใจที่จะเรียนรู้

                        เรื่องที่ ๕  คือ ภาษาไทย และภาษากฎหมาย ภาษากฎหมายบางที

ก็ประหลาด ๆ ที่เราพูดกันล้อเล่นนี่ “ห้ามไม่ให้” เป็นเชิง negative ซ้อนกัน แต่นั่นก็เป็น

ภาษากฎหมาย เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ด้านกฎหมาย ถ้าเราไม่มีอะไรดีกว่าก็คงต้องใช้อย่าง

นั้นไปเรื่อย ภาษาไทยในรุ่นพวกคุณคงลำบาก เพราะว่าคุณเติบโตขึ้นมาในยุคที่

กระทรวงศึกษาธิการไปลอกเลียนแบบวิธีเรียนภาษามาจากอเมริกันเรียบร้อยแล้ว คือ

สอนภาษาไทยในลักษณะภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นวิธีดูภาษาในคนรุ่นใหม่ จึงแตก

ต่างไปจากคนรุ่นเก่าซึ่งเขาเรียนจากมูลบทซึ่งเป็นพื้นฐานของภาษาไทยแต่ว่าในปัจจุบัน

ไม่ได้เรียนอย่างนั้นแล้ว ก็ค่อนข้างจะลำบากหน่อย แต่ว่าถึงอย่างไรเมื่อเป็นภาษาของ

เรา เราก็ต้องเรียนรู้ เรียนรู้เมื่อโตขึ้นก็ยังดีกว่า

                        เรื่องที่ ๖  คือ รู้แหล่งที่ว่าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับวิทยาการสมัยใหม่ได้

ที่ไหน ซึ่งเดี๋ยวนี้ง่ายมาก สมัยก่อนลำบาก สิ่งเดียวที่จะต้องทำก็คือไปค้นหาตามห้อง

สมุด เดี๋ยวนี้มาป้อนอยู่ที่โต๊ะแล้ว กดปุ๊บได้ปั๊บ เพราะฉะนั้นก็ง่าย ตรงนี้ก็เกือบจะเรียก

ว่าไม่ต้องลงทุนลงแรงเพียงแต่ยกนิ้วไปกดปุ่มก็มา แล้วก็อ่านเอาหน่อยเท่านั้นเอง แต่ก็

เป็นความจำเป็นที่นักร่างกฎหมายจะต้องเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ เพราะมิฉะนั้น

กฎหมายคุณจะทันสมัยได้อย่างไร ถ้าคุณไม่รู้ว่าวิทยาการสมัยใหม่ก้าวไปถึงขั้นไหนแล้ว

เวลาเราพูดถึงคลื่นวิทยุคงไม่ใช่คลื่นแฮรตเซียนอย่างเดิมต่อไปแล้ว จะกลายเป็นคลื่น

อะไร ๆ ที่เราไม่รู้มีทั้งเลเซอร์ มีทั้งกระแสไฟที่ส่งไปตามสาย ที่กำลังเดินกันอยู่ ออพติก

ไฟเบอร์อะไรนี่ พวกนี้ถ้าเราไม่รู้เลย ปิดหูปิดตาหมด วิทยาการใหม่เข้ามากฎหมายเราก็

จะโหว่ ลองไปนึกดูกฎหมายที่เขียนในยุคเก่า ๆ ดูประมวลกฎหมายอาญา หรือประมวล

กฎหมายแพ่งในรุ่นเก่า ก่อนมีการปรับปรุงแก้ไข ลองนึกดูว่าสิ่งที่เขาเขียนเอาไว้เมื่อ

๕๐–๖๐ ปีที่แล้ว มาปัจจุบันนี้ส่วนมากเรายังไม่พบเลยว่ามีช่องโหว่ตรงไหน ลองนึกถึง

นิยามของคำว่า “โดยทุจริต” นึกถึงคำนิยามคำว่า “เจตนา” นึกถึงคำนิยามคำต่าง ๆ

“การใช้กำลังประทุษร้าย” มาปัจจุบันนี้ วิวัฒนาการเจริญก้าวหน้าไปมากมาย โครง

สร้างระบบอะไรต่าง ๆ  ก็เปลี่ยนไป แต่ลองไปนึกดูถึงคำเหล่านั้น ยัง cover ได้จนถึง

ปัจจุบัน แปลว่าอะไร แปลว่าวิธีคิดของเขานั้นคิดกันกว้างขวางมาก เรื่องบางเรื่องใน

ประมวลกฎหมายแพ่ง หรือในวิธีพิจารณาความแพ่งที่เขาเขียนกันไว้เมื่อ ๔๐–๕๐ ปี

ก่อน มายุคนี้เขียนเพื่อที่จะอธิบายเรื่องเดียวกันต้องใช้ถึง ๑๐ มาตรา ๒๐ มาตรา จึง

อธิบายเรื่องเดียวกับที่เขาเคยเขียนไว้ในมาตราเดียวกันได้หมดแปลว่าอะไร แปลว่าเรา

คิดสู้คนโบราณไม่ได้ คนโบราณคิดได้กว้างกว่า นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าทักษะ และวิธี

คิดแตกต่างกัน  แต่เราในปัจจุบันก็ได้เปรียบ ถ้าเราจะใช้ความได้เปรียบนั้นก็เพราะเรามี

แหล่งข้อมูลทางวิทยาการที่ง่ายต่อการเข้าถึง และที่สำคัญก็คือว่า มีคนทำคำอธิบาย

อะไร ๆ ไว้ให้เรียบร้อย สะดวกต่อการที่จะหยิบมาใช้ได้ในทันทีทันใด เราต้องรู้แหล่งของ

ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อว่าจะนำมาใช้

                        เรื่องที่ ๗  ประการสุดท้าย คือ รู้หลักจิตวิทยา และหลักในการ

เจรจาต่อรองถามว่าทำไมจะต้องรู้ ๒ หลักนี้ เพราะเวลาเราร่างกฎหมาย เราต้องเผชิญ

คนเยอะ เผชิญทั้งคนเบื้องสูงซึ่งมีอำนาจเด็ดขาด กับเผชิญกับคนที่อยู่ในระดับเดียวกับ

เรา การที่เราจะร่างกฎหมายให้ตรงตามทัศนคติ หรือที่เราคิดว่าดีที่สุดได้นั้น ต้องใช้จิต

วิทยาโดยการชี้นำคนที่มีอำนาจ เพื่อที่จะให้เขาเห็นดีเห็นงามกับเรา ต้องมีหลักในการ

เจรจาต่อรอง ถ้าอย่างนั้นเขารับไม่ได้ ขยับลงมาอีกหน่อยเขารับได้ไหม แทนที่จะยอม

ผลีผลามตามที่เขาต้องการไปเสียตั้งแต่ทีแรก ตรงนั้นเป็นศิลปะที่ต้องค่อย ๆ ศึกษาและ

เรียนรู้ไป ถึงจะสามารถใช้ได้ ที่ไม่ควรใช้เลยก็คือว่า เราไม่ควรใช้ความรู้ในการร่าง

กฎหมายของเราไปข่มขู่คนอื่น หรือไปขู่เข็ญเขา จนกว่าเราจะใหญ่จริง ถ้าเรายังไม่ใหญ่

จริงเราอย่าเพิ่งทำอย่างนั้น สิ่งที่ต้องทำก็คือใช้หลักจิตวิทยา ต้องพูดจากับเขาดี ๆ เจรจา

ต่อรองไป ต่อรองมา หรือชั้นที่สุดเขียนตามที่เขาต้องการ แล้วชี้ให้เขาเห็นว่าสิ่งที่เขา

ต้องการนั้นเมื่อเขียนออกมาแล้วจะมีผลร้ายต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ อธิบายให้เขาฟัง นั่นก็คือ

หลักการเจรจาต่อรอง แล้วเขาก็จะรู้ว่าทำอย่างที่เขาว่าไม่ได้ ต้องลดราวาศอกกันลงมา

                                นั่นเป็นเรื่องเบื้องต้นที่นักร่างกฎหมายจะต้องรู้ใน ๗ เรื่อง แต่ละเรื่อง

ก็จะมีคำอธิบาย ที่เป็นสาระสำคัญหรือเป็นเรื่องที่จะต้องไปเรียนรู้กันเอา จริง ๆ เวลาที่

เราจะร่างกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง ถ้าเราเป็นคนเริ่มต้นจะลงมือร่าง เรื่องจะไม่ง่าย

เหมือนอย่างที่เราทำงานกันอยู่เป็นประจำที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพราะว่า

ต้องใช้กระบวนการในการคิดในการวิเคราะห์อะไรต่าง ๆ มากมาย กว่ากฎหมายจะออก

มาเป็นร่างได้ แต่ว่าพวกเรานี่โชคดี พวกเรานั่งอยู่กับที่มีคนเขาร่างให้ กระทรวง ทบวง

กรม เขาร่างมาให้เสร็จ แล้วเราก็วิจารณ์จากร่างที่เขาทำ เราก็จะบอกว่าตรงนั้นไม่ดี ตรง

นี้ไม่ดี แต่เขาคิดของเขามาเรียบร้อยแล้ว แต่แม้กระนั้นสิ่งที่เราจะต้องดู ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก

ๆ เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน ถ้าเราจะดูให้ดี

                                เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้จึงเป็นเรื่องเน้นของการดูร่างที่มี

คนเขาร่างมาให้แล้ว ไม่ใช่เรื่องที่จะไปยกร่างกันขึ้นใหม่ การที่จะดูร่างที่เขายกร่างมาให้

แล้ว จะมีร่างอยู่ ๒ ชนิด ร่างชนิดหนึ่งก็คือ ร่างกฎหมายใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งอาจจะยกเลิก

กฎหมายเก่าหรืออาจจะเป็นกฎหมายใหม่จริง ๆ เลยก็ตาม กับการออกกฎหมายมาแก้

ไขเพิ่มเติม สำหรับในกรณีแรกที่เป็นร่างกฎหมายใหม่ทั้งฉบับ หลักที่เราจะต้องดู ๆ

ในเรื่องอะไรบ้าง

                        ประการที่ ๑  คือ วัตถุประสงค์ที่เขาจะออกกฎหมายฉบับนั้น ถาม

ว่าดูทำไมจะได้รู้ความต้องการของเจ้าของร่างเขา แล้วเราจะได้รู้ว่า สิ่งที่เขาเขียนมาทั้ง

หมดนั้น ตรงกับความต้องการของเขาแล้วหรือยัง ความต้องการของเขานั้นเป็นความ

ต้องการที่ชอบแล้วหรือยังเพราะสิ่งเหล่านี้เราต้องดู ถามว่าดูทำไม เพราะในฐานะเรา

เป็นผู้ร่าง เราต้องร่างให้ตรงตามวัตถุประสงค์ มิฉะนั้นกฎหมายที่ออกไปก็ไปคนละทิศ

คนละทาง ถ้าเราไม่รู้วัตถุประสงค์เสียแต่เบื้องต้น เราจะตรวจร่างกฎหมายของเขาได้

อย่างไร ที่สำคัญก็คือว่า กระบวนการทั้งหมดที่เขียนตามมานั้น จะทำให้วัตถุประสงค์

นั้นบรรลุหรือไม่ มีวิธีการที่แตกต่างกันสำหรับกระบวนการต่าง ๆ กัน เพราะฉะนั้นสิ่งจำ

เป็นเบื้องต้นคือ เราจึงต้องรู้ว่าวัตถุประสงค์ของกฎหมายนั่นคืออะไร

                        ประการที่ ๒  คือ วัตถุประสงค์นั้นขัดกับหลักรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขัด

กับหลักนิติธรรมหรือไม่ เหมือนอย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่า นักร่างกฎหมายต้องรู้อะไร ต้อง

รู้รัฐธรรมนูญต้องรู้หลักนิติธรรม ต้องรู้หลักเรื่องกฎหมายปกครอง เพื่ออะไร เวลาเราจะดู

ร่างกฎหมายของเขาเราจะได้ อ้อ! เรารู้แล้วล่ะว่าเขาต้องการอะไร เราก็ต้องถามตัวเอง

ว่าแล้วสิ่งที่เขาต้องการนั้นขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญ หลักนิติธรรมหรือไม่ เราจะต้องดู แต่

ก่อนนี่ดูง่ายไม่ยาก ดูไปที่ ๒ หมวดเท่านั้น คือ หมวดว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพ กับแนว

นโยบายแห่งรัฐ แต่ในปัจจุบันต้องดูไปที่หมวดต่าง ๆ อีกหลายหมวดทีเดียว เพราะเขา

จับกระจายไปหมดแล้ว ต้องไปดูหมวดว่าด้วยศาลเพราะว่าสิทธิเกี่ยวกับคดีอาญาไปอยู่

ในหมวดว่าด้วยศาล ถามว่าเรื่องอะไรเราถึงต้องไปดูว่าวัตถุประสงค์ของเขาขัดกับรัฐ

ธรรมนูญหรือไม่ เพราะถ้าเราเป็นนักร่างกฎหมาย แล้วเราร่างกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์

ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เราเสียหายมาก เป็นความเสียหายที่รุนแรงที่สุดสำหรับคนที่มีอาชีพ

ทางร่างกฎหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำร่างกฎหมายไปแล้ว จะไม่มีวันขัดต่อรัฐ

ธรรมนูญ ไม่ใช่ อาจจะพลาดได้ แต่ต้องพลาดโดยเพราะความรู้เรามีเท่านั้น ไม่ใช่พลาด

เพราะเราไม่ได้ดู สิ่งแรกที่เราต้องดูจึงต้องดูก่อนว่าขัดต่อหลักนิติธรรม หลักรัฐธรรมนูญ

หรือไม่ต่อไปเราจะได้รับการขอร้องมากขึ้น เพราะว่าประชาชน ๕๐,๐๐๐ คน จะมีสิทธิ

เสนอร่างกฎหมายได้ คนเขารู้ว่าเราทำงานอยู่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เขาก็

นึกว่าเราเชี่ยวชาญในการร่างกฎหมาย คงจะต้องมีสักกลุ่มหนึ่งล่ะที่มาวานเราร่าง  แล้ว

การร่างกฎหมายของประชาชนนั่นแหละจะเป็นการขัดต่อหลักนิติธรรมและหลักรัฐธรรม

นูญง่ายที่สุด เพราะความต้องการของประชาชนนั้น จะเป็นความต้องการที่บางทีก็ค่อน

ข้างจะวิริศมาหราอยู่ เช่น อยู่ ๆ เขาอาจจะบอกว่า ทำอย่างไรหนี้สินผมจะหมด ช่วยออก

กฎหมายให้ผมฉบับหนึ่งสิ ถ้าเราไม่นึกถึงหลักรัฐธรรมนูญหลักนิติธรรม เราก็เขียนง่าย ๆ

“บรรดาหนี้สินของนาย ก. ให้เป็นอันยกเลิกกันไป” ก็จบ แต่ถามว่าใช้ได้ไหม ก็ตอบว่าใช้

ไม่ได้  เพราะฉะนั้นการที่เราจะต้องดูสิ่งเหล่านี้ ก็จะเป็นการดูเพื่อสร้างความชำนาญใน

ตัวเราด้วย  อย่าไปนึกว่าพอเห็นกฎหมายฉบับหนึ่งแล้ว เราก็นึกว่า นี่ก็ธรรมดาไม่ต้องไป

ดู ง่าย ๆ ดูไว้แหละดี อย่าไปเชื่อตัวเอง

                        ประการที่ ๓  คือ วัตถุประสงค์นั้นสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล

หรือไม่เราในฐานะเป็นที่ปรึกษา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาในฐานะเป็นที่

ปรึกษาของรัฐบาลก็ต้องดูว่าเวลาที่เขาเสนอกฎหมายมานั้นสอดคล้องกับนโยบายของ

รัฐบาลในชุดที่กำลังใช้เราทำอยู่หรือไม่ แน่ล่ะก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุค ตามสมัย

ตามรัฐบาล แต่ถ้าเมื่อเราได้คำนึงถึงหลัก ๒ ประการข้างต้น ในเรื่องของรัฐธรรมนูญ ใน

เรื่องของหลักนิติธรรม ในเรื่องของวัตถุประสงค์ของกฎหมายนั้นแล้ว การทำตาม

นโยบายของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบเท่าที่ไม่ขัดกับหลักข้างต้น ถามว่าทำไมไม่

ใช่เรื่องเสียหาย ก็เพราะรัฐบาลมีหน้าที่เป็นคนกำหนดนโยบายตามระบอบ

ประชาธิปไตย เขาต้องทำตามนโยบายนั้นให้ได้ บางเรื่องเราก็ไม่เห็นด้วยไม่จำเป็นที่เรา

จะต้องเห็นด้วย แต่ถามว่าเมื่อเราไม่เห็นด้วยแล้วเราไม่ร่างได้ไหม ไม่ได้ หน้าที่เราเป็น

คนร่าง เราก็ต้องร่าง แต่เราก็ต้องร่างในลักษณะที่มีความระมัดระวัง ขึ้นอยู่กับว่าเราไม่

เห็นด้วยในแง่มุมไหน ถ้าเราไม่เห็นด้วยในแง่ที่ว่านโยบายนี้ไม่เห็นได้เรื่อง น่าจะทำอีก

อย่างหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นต้องรอเราไปเป็นรัฐบาล แต่ถ้านโยบายนี้ไม่ดีเพราะราษฎรจะ

เดือดร้อน ตรงนั้นเรา concern มาก ต้องทำทุกวิถีทางที่จะขจัดความเดือดร้อนของ

ราษฎรที่จะเกิดจากกฎหมายนั้นให้ได้แล้วก็ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลให้ได้ด้วย

เมื่อจะต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ต้องเลือกเอาการขจัดความเดือดร้อนของราษฎรให้

หมดไปมากกว่าเลือกการทำตามนโยบายของรัฐบาลโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น ชั้นที่สุด

ที่จะต้องทำก็คือ ต้องแสดงความสามารถของเราไว้ให้ปรากฏว่าเราได้คำนึงถึงเรื่องเหล่า

นี้แล้ว แล้วถ้ารัฐบาลจะไม่เอา ก็เป็นเรื่องของรัฐบาลเอง แต่ไม่ใช่รัฐบาลไม่เอาเพราะไม่รู้

ต้องทำให้ปรากฏให้ได้ว่ารัฐบาลรู้เรื่องนี้ว่าจะเกิดความเสียหายเดือดร้อน แล้วรัฐบาลยัง

ทำ ก็เป็นความรับผิดชอบทางการเมืองของเขา เราในฐานะเป็นนักวิชาการเป็นอาชีพ

ของเรา เราต้องแสดงตรงนี้ให้เห็น

                        ประการที่ ๔  คือ เราต้องถามตัวเราเองว่า การที่จะบรรลุวัตถุ

ประสงค์ตามที่เขาต้องการนั้น จำเป็นต้องออกกฎหมายหรือไม่ กระทรวง ทบวง กรม ทั้ง

หลาย อาจจะไม่รู้เอะอะอะไรก็จะให้ออกเป็นกฎหมาย เรื่องบางเรื่องอาจไม่จำเป็นต้อง

ออกเป็นกฎหมายกฎหมายก็คือ กฎ กติกาของสังคมที่ออกทับถมกันมาเป็นเวลานาน ๆ

แล้วก็กลายเป็นโซ่ตรวนที่ผูกคอ และในที่สุดทุกคนก็ดิ้นไม่หลุด เราเป็นผู้ร่างกฎหมาย

เป็นผู้สร้างโซ่ตรวนนั้นเป็นคนแรกเราต้องระมัดระวังอย่าให้มีโซ่ตรวนเกินกว่าความจำ

เป็นเท่าที่ควรจะมี เพราะฉะนั้นการพิจารณาว่าเรื่องที่เขาต้องการจะทำจำเป็นจะต้อง

ออกกฎหมายจริง ๆ หรือ จึงเป็นประเด็นเบื้องต้นที่นักร่างกฎหมายจะต้องคิด เพื่อที่จะ

บอกเขาว่า สิ่งที่คุณต้องการนั่นไม่จำเป็น ความจริงคุณไปออกประกาศใบเดียวก็ได้ ก็

เป็นแล้ว ใช้บังคับได้เหมือนกัน มีผลอย่างเดียวกัน

                        ประการที่ ๕  ซึ่งสอดคล้องกับประการที่ ๔ คือ ถ้าจำเป็นจะต้อง

ออกกฎหมายจะต้องออกในรูปแบบใด ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติ ออกเป็นพระราช

กฤษฎีกา หรือออกเป็นกฎกระทรวง หรือเพียงแต่ประกาศของกระทรวง เพราะสิ่งเหล่านี้

จะมีผลแตกต่างกัน ถ้าเป็นพระราชบัญญัติก็จะสร้าง burden อะไรที่ให้แก่ประชาชน

โดยไม่มีขอบจำกัด เว้นแต่กรอบตามรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าเป็นพระราชกฤษฎีกาจะมีกรอบ

มากขึ้น จะมีกรอบทั้งพระราชบัญญัติที่เป็นแม่บทแล้วยังมีกรอบตามรัฐธรรมนูญอีกต่าง

หาก ถ้ายิ่งเป็นกฎกระทรวงก็ยิ่งมีกรอบมากขึ้น ๆ ก็แปลว่าสิทธิจะถูกจำกัดให้น้อยลง

ถ้ากรอบมีน้อยสิทธิก็ไม่ถูกจำกัดมาก

                        ประการที่ ๖  คือ กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่แล้วในเรื่องเดียวกันมีหรือ

ไม่ นี่คือเรื่องที่เราต้องถามตัวเองในเวลาที่เราจะตรวจพระราชบัญญัติฉบับหนึ่ง ตรงนี้ที่

ต้องการความชำนิชำนาญ คนที่จะตอบเรื่องนี้ได้ต้องเป็นคนที่อ่านกฎหมายที่มีใช้บังคับ

อยู่แล้วมาอย่างน้อยหนึ่งเที่ยว ถึงอ่านไม่จบก็ต้องพลิกส่วนใหญ่ มิฉะนั้นคุณจะบอกไม่

ได้ว่าเคยมีกฎหมายนี้อยู่ในที่ใด ตรงนี้เป็นความพยายามที่จะรู้ว่า ใครมีความตั้งใจจะ

เป็นนักร่างกฎหมายที่แท้จริงหรือไม่หรือต้องการจะทำแต่เพียงไปวัน ๆ เพราะถ้าคุณ

ต้องการจะเป็นนักร่างกฎหมายที่แท้จริงละก็คุณจะเป็นนักร่างกฎหมายไม่ได้เลยถ้าคุณ

ไม่รู้ว่ากฎหมายในประเทศไทยมีเรื่องอะไรอยู่บ้างขยับไปถึงอีกขั้นหนึ่งก็คือว่า ต้องเคย

อ่านไปถึงกฎหมายที่ยกเลิกไปแล้วด้วย อย่างน้อยที่สุดจะได้รู้ว่า ทำไมเขาถึงได้ยกเลิก

ถามว่าทำไมเราจึงต้องไปดูทั้งหมด เพราะถ้าเราไม่ดูทั้งหมด เราจะบอกได้อย่างไรว่า

กฎหมายที่เรากำลังจะพิจารณาเคยมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาบ้างเพื่อเราจะได้ตอบ

คำถามดังต่อไปนี้ได้

                                คำถามที่ ๑  คือว่า ถ้ากฎหมายมีอยู่แล้ว ทำไมเราจึงต้องออก

กฎหมายใหม่ต่างกันอย่างไรระหว่างกฎหมายเก่าที่มีอยู่แล้วกับกฎหมายใหม่

                                คำถามที่ ๒ คือว่า ถ้าของเดิมมีแล้วใช้ไม่ได้เพราะมีช่องโหว่ หรือใช้

บังคับไม่ได้ หรือว่าล้าสมัย เราจะได้ตามไปยกเลิกเสีย หรือถ้าไม่สมควรยกเลิก สมควร

จะแก้ไขกฎหมายนั้นให้ทันสมัยขึ้น หรือไปเขียนกฎหมายใหม่ทั้งฉบับ แล้วทิ้งคาราคาซัง

เอาไว้ กฎหมายที่ซ้ำซ้อนกันเหล่านี้ บางทีเรานึกถึงแต่ชื่อ ความจริงไม่ใช่เรื่องชื่อ ตัวเนื้อ

หาต่างหากที่สำคัญ เรื่องบางเรื่องอาจจะมีอยู่ในกฎหมายฉบับหนึ่ง และจะด้วยความ

ล้า เก่าเก็บกันนานจนกระทั่งคนลืมไปแล้วพอนึกอะไรขึ้นมาได้ก็เลยไปร่างกฎหมายอีก

ฉบับ แล้วของเก่าก็จะยังอยู่ในกฎหมายฉบับนั้นซึ่งตรงนั้นก็จะเป็นความผิดพลาดของ

นักร่างกฎหมายอย่างมากถ้ายังทิ้งไว้ให้มีอยู่ ถ้าจะทิ้งไว้ก็ต้องทิ้งไว้ด้วยความตั้งใจ

เพราะมีเหตุผลของกฎหมายนั้นต่างหาก ต้องไม่ใช่ทิ้งไว้เพราะเราไม่รู้ว่ามีอยู่ เมื่อไรที่เรา

ไปพบเข้าแล้วเราบอกว่า “ตายจริงไม่ยักรู้ว่ามี” แปลว่า เราพลาดอย่างมหันต์เลย

                        ประการที่ ๗  คือ จะต้องดูว่ากฎหมายใกล้เคียงกับเรื่องที่เรากำลัง

จะพิจารณานั้นมีหรือไม่ มีกฎหมายอะไรที่เกี่ยวเนื่องกันหรือไม่ เพื่อจะได้ดูว่ามีความขัด

แย้งกันบ้างไหม ถ้าขัดแย้งกันจะทำอย่างไร จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบระหว่างกัน

และกันได้อย่างไรบ้าง ข้อสำคัญเรื่องใกล้เคียงกันนั้น กฎหมายอีกฉบับหนึ่งวางหลัก

เกณฑ์ไว้ว่าอย่างไร กระบวนการในการเดินหน้าของกฎหมายฉบับนั้นกำหนดไว้อย่างไร

วิธีการเป็นอย่างไร  แล้วเมื่อเราจะกำหนดในเรื่องที่ใกล้เคียงกันขึ้นมาใหม่อีกฉบับหนึ่ง

กระบวนการควรจะใกล้เคียง ควรจะเหมือนกันไหม หรือควรจะแตกต่างกัน ถ้าแตกต่าง

กัน ประชาชนจะสับสนหรือไม่ หน่วยงานจะสับสนหรือไม่ควรจะปรับปรุงให้เกิดความ

สอดคล้องต้องกันหรือไม่ ดีไม่ดีอาจจะต้องกลับไปยกรื้อกฎหมายใกล้เคียงกันนั้นขึ้นมา

แก้ไขเสียใหม่ให้สอดคล้องกันก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องไปค้นคว้า

                        ประการที่ ๘  เป็นเรื่องค่อนข้างจะใหม่ที่เราไม่ค่อยจะได้ดูกันนัก

แต่ว่าต่างประเทศเขาดูกันมากแล้ว คือ ดูว่ากฎหมายใหม่ที่จะออกมาใช้บังคับนั้นได้

สร้างภาระอะไรให้กับประชาชนจนเกินความจำเป็น ที่เรียกได้ว่าไม่คุ้มกันหรือไม่ คือ

อย่างที่บอกแต่แรกว่ากฎหมายคือ กฎกติกาของสังคม แล้วในที่สุดก็กลายเป็นโซ่ตรวน

ซึ่งถ้ามีมาก ๆ เข้า ทุกคนก็กระดิกกระเดี้ยไม่ได้  แล้วกฎหมายทุกฉบับมีต้นทุน อย่านึก

ว่าเราออกกฎหมายไปแล้วต้นทุนไม่มีต้นทุนมหาศาล ยังไม่ต้องคิดถึงกระบวนการใน

การพิจารณาที่จะออกกฎหมาย  คิดถึงเมื่อกฎหมายออกมาใช้บังคับ ใครจะต้องทำอะไร

อย่างไรบ้าง ตำรวจอยู่ ๆ นึกขึ้นมาว่าการติดฟิล์มกรองแสงเกิน ๗๕% น่าจะเกิด

อันตราย ใครนั่งอยู่ในนั้นก็จะมองไม่เห็น ประกาศตูม บอกต่อไปนี้ต้องต่ำกว่า ๗๕% ต้น

ทุนคืออะไร ทุกคนต้องเปลี่ยนฟิล์มหมด เพียงเพื่ออะไร เพื่อตำรวจจะได้มองเห็นผู้ร้าย

แต่ไม่ได้นึกว่า ผู้ร้ายก็มองเห็นคนขับเหมือนกัน หรือวันดีคืนดีเห็นป้ายทะเบียนรถบอก

ว่าไม่ดี อ่านยาวไปเปลี่ยนระบบใหม่ ไม่ยาก ทุกคนเปลี่ยนป้ายคนละแผ่นเท่านั้นเอง

ราคา ๒๐๐ บาท คนที่ออกกฎเรื่องนั้นบังเอิญมีสตางค์แค่ ๒๐๐ บาท จะเดือนร้อนอะไร

อย่าลืมนึกว่าถ้าทั้งประเทศเอา ๒๐๐ คูณเข้าไป เป็นเงินฉิบหายวายวอดของประเทศไป

เท่าไร ต้นทุนเหล่านี้เป็นต้นทุนของประเทศทั้งนั้น เพราะฉะนั้นกฎหมายที่เราออกไป

ถามว่าเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไรเพราะเวลาเราออกกฎหมาย เราเปิดช่องให้เขาทำ โดย

ไม่มีกรอบอันจำกัดเลย ถ้าใครเขียนกฎหมายมานาน ๆ ก็จะจำได้ หลักเกณฑ์และวิธีการ

และเงื่อนไขในการอนุญาต “ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง” จบ เรานึกว่าเราได้

ทำหน้าที่ของเราเรียบร้อยแล้ว เขียนตามแบบถูกต้องเป๊ะเลย เราไม่เคยสนใจเลยว่า แล้ว

เขาไปกำหนดว่าอย่างไร ต่อเมื่อวันหนึ่งกฎหมายนั้นกลับมาใช้บังคับกับเรานั่นแหละ เรา

ถึงจะรู้ เออ! ตายจริง เพราะฉะนั้น หลักของนักร่างกฎหมายที่ดีต้องคำนึงถึงต้นทุนว่า

จริง ๆ สิ่งที่เขาต้องการนั้นเป็นภาระให้กับชาวบ้านมากกว่าความสะดวกสบายที่เจ้าหน้า

ที่ของรัฐจะได้รับจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริง ต้องไม่ออกกฎหมายอย่างนั้น เรามีกฎหมายเป็น

จำนวนไม่น้อยที่ออกมาเพื่อความสะดวกของเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะได้ไม่ต้องลุกออกจาก

โต๊ะไปหาข้อมูล กฎหมายที่ยังใช้อยู่ทุกวันนี้ก็คือ กฎหมายเรื่องทะเบียนพาณิชย์

ทะเบียนการค้าของกระทรวงพาณิชย์ หลักเบื้องต้นที่ต้องการออกกฎหมายฉบับนี้ออก

มาก็คือ ต้องการรู้ว่าใครเขาทำการค้า ทำการพาณิชย์กันที่ไหนจะได้มีสถิติ ก็ออก

กฎหมายบังคับให้ทุกคนที่จะทำมาจดทะเบียน ต้นทุนมหาศาล แล้วเลิกไม่ได้ เพราะครั้ง

หนึ่งที่เราออกเป็นกฎหมาย เวลาเลิกก็เลิกลำบาก เพราะมีกรมรองรับอยู่ มีกองรองรับ

อยู่ ยุบไปเขาก็ลำบากเดือดร้อน รัฐมนตรีกี่คนกี่คนมาก็ไม่กล้ายุบ ทุกคนก็รู้ว่าควรจะยุบ

แต่ขอให้ยุบในสมัยของคนอื่น อย่ายุบในสมัยของผม ก็คิดกันอย่างนั้นทั้งสิ้น เพราะ

ฉะนั้นเราเป็นผู้จุดชนวนเบื้องต้น เราจึงต้องคิดถึงต้นทุนของกฎหมายนั้นว่าคุ้มหรือไม่

คุ้มอย่างไร ในการที่จะคิดถึงภาระต้นทุนจึงนำไปสู่ประเด็นปัญหาประการที่ ๙

                ประการที่ ๙  ที่ว่ากระบวนการในกฎหมายที่กำหนดเอาไว้นั้น มี

ความสะดวกมีประสิทธิภาพ และง่ายต่อความเข้าใจของชาวบ้านมากน้อยแค่ไหน

เพราะเมื่อคำนวณต้นทุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาล่ะจำเป็นต้องมี อย่างไร ๆ ก็ต้องมี ก็

ต้องมีในทางที่จะทำให้เกิดความสะดวกสบายแก่คนมากที่สุด ก็คือ ต้องนึกถึงกระบวน

การ เดี๋ยวนี้เราอาจจะแยกระบบได้เป็น ๓ ระบบ ในทางที่ราชการจะเข้าไปควบคุมดูแล

คือ

                                . ระบบเข้าไปควบคุม

                                . ระบบการกำกับ และ

                                . ระบบการติดตาม

                                ควบคุมก็ห้ามเลย ใครจะทำอะไรต้องมาขออนุญาต กำกับก็คือ ใคร

ทำอะไรก็ให้มาแจ้ง ทำไปเลยแล้วให้มาแจ้ง ส่วนติดตามก็คือ ออกกฎไว้เฉย ๆ แล้วก็ใคร

จะทำก็ทำตามกฎไม่ต้องมาบอก แล้วก็ไปดูเอาว่าผิดกฎหมายหรือไม่ กระบวนการของ

ระบบแต่ละระบบนั้นต้องนึกว่าทำอย่างไรราษฎรเขาจึงจะสะดวกที่สุด มีภาระเกิดขึ้น

น้อยที่สุด ถ้าภาระเหล่านั้นมีอยู่แล้วสมควรจะใช้อันเดียวกันได้หรือไม่ หรือสมควรจะ

สร้างโยงใยขึ้นมาใหม่ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เราเขียนทุกทีในกฎหมายที่มีโทษ เรื่องสร้าง

หน่วยงานขึ้นมา “ให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระ

ราชบัญญัตินี้” “พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา”

“พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจค้น สอบถาม เรียกเอกสารหลักฐานเข้ามาตรวจสอบ”

พอถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่ เจ้าหน้าที่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีอำนาจ นี่เป็นตัวอย่างครั้งที่ ๑๐๐

ที่ผมจะยกเรื่องใบอนุญาตหาย บัตรประจำตัวประชาชนหาย ถามว่าคุณไปแจ้งกับนาย

ทะเบียนบัตรประจำตัวประชาชน เขายอมรับไหม เขาบอกเขาไม่รับ ใครคือนายทะเบียน

บัตรประจำตัวประชาชน ปลัดอำเภอ เขาบอกคุณโน่น ไปแจ้งความกับตำรวจ เมื่อได้ใบ

รับแจ้งความจากตำรวจว่าบัตรหายแล้วจึงเอาใบนั้นมา หรือบัตรประจำตัวประชาชน

ของคุณขาดอายุต้องไปเสียค่าปรับที่ตำรวจแล้วก็มา ไป ๒ หน ถามว่าทำไม เขาบอกว่า

หากคุณโกหกคุณจะได้มีความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถามว่าตัว

ปลัดอำเภอ นั่นไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้าที่หรอกหรือ เขาบอกไม่ใช่ ไม่หนักแน่นพอ ก็แปล

ว่าอะไร เราเขียนกฎหมายกันตั้งร้อยแปดพันเก้าทุกฉบับเขียนอย่างเดียวกันหมด แต่ไม่

มีใครรู้ว่าตัวเองมีอำนาจ บอกให้ไปราษฎรก็ต้องไป พวกเราง่ายนี่มีรถก็ขับรถไป ไม่มีรถ

ก็นั่งมอเตอร์ไซด์ไป ขึ้นรถเมล์ไปก็ได้ แต่นึกถึงคนที่อยู่โน่น ไกลปืนเที่ยง เดินทางเข้ามา

อำเภอ ต้องไป ๒-๓ หน สารวัตรก็ไม่อยู่ บ้านนอกนะ ก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า สิ่งเหล่านี้

เป็นผลพวงมาจากการที่เราออกกฎหมายมาทั้งสิ้นแล้วเราไม่เคยนำกลับมาทบทวนใหม่

ว่ากฎหมายเหล่านั้นได้ไปสร้างภาระขึ้นมามากน้อยแค่ไหน ถ้าเราจะเป็นนักร่าง

กฎหมายที่ดีได้ เราต้องกลับมาทบทวนเพื่อที่จะเขียนใหม่ แน่ละไม่ได้ในทันทีทันใดตาม

ที่เราต้องการ ต้องค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไป จนวันหนึ่งจะกลายเป็นแบบอีกแบบหนึ่งขึ้นมา

                        ประการที่ ๑๐  คือ กฎหมายต่างประเทศในเรื่องเดียวกัน เขามีหรือไม่ กำหนดกันไว้ว่าอย่างไร แต่ต้องจำไว้ว่าเวลาเราไปดูกฎหมายต่างประเทศ ไม่ใช่ไปดู

เพื่อลอกเขามาต้องไปดูเพื่อว่าเขาทำกันอย่างไร แล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้น มีช่องโหว่ตรง

ไหน เราจะได้มาอุดช่องโหว่ เราจะได้ไม่เขียนกฎหมายของเราให้มีปัญหาอย่างเดียวกับ

ที่เขามีอยู่

                                นั่นก็คือหลัก ๑๐ ประการในการตรวจสอบร่างพระราชบัญญัติที่จะ

ออกขึ้นใหม่ทั้งฉบับ

                                ถ้าเป็นกฎหมายที่เขาแก้ไขเพิ่มเติม กฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมนี่ทาง

สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาดูจะถือหลักว่าเป็นกฎหมายง่าย บางทีก็ให้เจ้าหน้าที่

ทำ ให้กองทำความจริงกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมเป็นกฎหมายที่ยากที่สุดในการตรวจ ถาม

ว่าทำไม เพราะคุณถูกกรอบบีบไว้หมดเลย คุณออกนอกกรอบนั้นไม่ได้ กฎหมายใหม่

นั่นไม่มีกรอบ คุณจะไปตรงไหนก็ได้ ถามว่ากรอบคืออะไร กรอบก็คือว่า แม่บทเดิมที่เรา

จะไปแก้ไขทั้งเล่มนั่นคือกรอบนอกเหนือไปจากกรอบที่จะต้องดูตามกฎหมายแบบเดียว

กับที่ดูพระราชบัญญัติทั้งฉบับ คุณใช้ถ้อยคำอะไรที่เป็นพิเศษก็ไม่ได้ ต้องย้อนกลับไปดู

ว่าในกฎหมายเก่าเขาใช้ถ้อยคำอะไร ในเรื่องเดียวกันจึงจะต้องใช้ถ้อยคำอย่างเดียวกัน

วิธีการเขียน sequence บทกำหนดโทษ ผลกระทบที่จะมีในระหว่างการที่กฎหมายฉบับ

นั้นออก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเรื่องยุ่งยากทั้งสิ้น จะยากกว่ากฎหมายที่ออกใหม่ทั้งฉบับ

หลักที่จะต้องดูเวลาตรวจสอบ มีดังนี้

                        ประการที่ ๑  คือ เวลาตรวจสอบ นอกเหนือไปจากสิ่งที่ต้องตรวจ

สอบแบบเดียวกับกฎหมายที่ออกใหม่ทั้งฉบับแล้ว ยังจะต้องดูต่อไปด้วยว่า การที่เขาจะ

แก้ไขกฎหมายฉบับนั้น วัตถุประสงค์ของเขาออกนอกกรอบวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

แม่บทเดิมแล้วหรือยังเพราะกฎหมายแต่ละฉบับจะมีกรอบแห่งวัตถุประสงค์ของตัวเอง

เช่น เรื่องปุ๋ย ก็จะต้องว่าด้วยเรื่องปุ๋ยไม่ไปว่าด้วยเรื่องสารเคมีอื่น วัตถุมีพิษก็ต้องว่าด้วย

เรื่องวัตถุมีพิษ จะเอาเรื่องอาหารไปใส่ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นตัวกรอบวัตถุประสงค์ตรงนี้ ก็

ต้องดูว่าสอดคล้องกับวัตถุประสงค์เดิมหรือไม่ ไกลเกินไปหรือไม่

                        ประการที่ ๒  คือ ต้องดูว่าที่ที่เราจะไปแก้นั้น ถูกต้อง ถูกจุดตาม

วัตถุประสงค์หรือไม่ ไม่ใช่ว่าอยากจะใส่ที่ไหนนึกอยากจะใส่ก็เอาไปใส่ไว้ดื้อ ๆ ต้องไป

อ่านของเดิมของเขาทั้งฉบับ แล้วก็ไปดูว่า sequence ที่ถูกต้องควรจะอยู่ตรงไหน

                        ประการที่ ๓  คือ จะต้องดูว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไปขัดแย้งกับ

หลักการของมาตราอื่นที่ไม่ได้แก้ไขหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหลักการ ในเรื่องของ

ถ้อยคำ ในเรื่องของความสอดคล้องแห่งสาระของกฎหมายฉบับนั้น ๆ สิ่งเหล่านี้ก็จะ

ต้องดู

                        ประการที่ ๔  คือ กฎหมายอื่นในทำนองเดียวกัน เขามีการแก้ไขกัน

บ้างหรือเปล่า แล้วถ้ามีการแก้ไข เขาแก้ไขไปในทางไหน ถ้ายังไม่ได้แก้ไขสมควรจะแก้

ไขในคราวเดียวกันหรือไม่ ในเรื่องทำนองเดียวกันนี้

                        ประการที่ ๕  คือ ต้องดูว่าการแก้ไขหรือกระบวนการที่เพิ่มเติมเข้า

มาใหม่กระทบกระเทือนอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานใดบ้างหรือไม่ ถ้ากระทบกระเทือน

หน่วยงานต่าง ๆ เหล่านั้นรู้แล้วหรือยัง ไม่ใช่เราร่างไปให้เสร็จแล้วเขาเกิดไปทะเลาะกัน

ทีหลัง เพราะว่าไม่ได้ถามไถ่เขาเลย นั่นก็เป็นหลักคร่าว ๆ ในการตรวจสอบกฎหมายสัก

ฉบับหนึ่งจะต้องดูอะไรกันบ้าง คราวนี้เพื่อให้สอดคล้องกับหัวข้อที่ว่า ทำอย่างไรถึงจะ

เป็นนักร่างกฎหมายที่ดี

                                นอกจากความรู้ที่ว่าไปแล้วที่จะต้องมี คนที่จะเป็นนักร่างกฎหมาย

ที่ดีได้นั้นมีหลักอยู่ ๑๐ ประการ จะเรียกว่าบัญญัติ ๑๐ ประการก็ได้ ถ้าทำตามนี้ได้รับ

รองเป็นนักร่างกฎหมายที่ดี

                                บัญญัติประการที่ ๑  คือ ต้องเป็นนักอ่าน ต้องเป็นนักอ่านตัวยง

เลย โดยเฉพาะอ่านตัวบทกฎหมาย อย่างที่บอกมาแต่ต้น ถ้าใครยังไม่เคยอ่านกฎหมาย

ผ่านตา อย่างน้อย ๘๐ % ของกฎหมายที่ใช้บังคับกันอยู่ ยังเป็นนักร่างกฎหมายที่ดีไม่

ได้ เพราะในกฎหมายแต่ละฉบับจะมีจุดด้อย ช่องโหว่ และข้อผิดพลาดไม่มากก็น้อย

อย่านึกว่าเมื่อกฎหมายผ่านสภาแล้ว ใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว จะเป็นแบบอย่างที่ดีได้

หลายฉบับเป็นแบบอย่างที่เลว ซึ่งไม่ควรจะไปจดจำ หรือจะจดจำก็ต้องไปจดจำในทาง

ที่ว่าต้องไม่ทำให้เกิดอย่างนั้นขึ้นอีก คนเราจะอ่านกฎหมายกันทั้งวันทั้งคืนก็คงเบื่อ คนที่

จะเป็นนักร่างกฎหมายที่ดี จะต้องเป็นนักอ่านแต่ไม่จำเป็นจะต้องอ่านกฎหมายตลอด

เวลา อ่านเรื่องอื่นบ้างก็ได้ ผมยังอ่านหนังสือกำลังภายในอยู่เป็นประจำเลย ถามว่าได้

ประโยชน์อะไรจากการอ่านหนังสือ หนังสือไม่ว่าจะดีหรือจะเลวก็จะเป็นประโยชน์ ถ้า

เลวก็เป็นตัวอย่างแห่งความเลว ถ้าดีก็เป็นสิ่งที่ควรจะจดจำ ถามว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับ

การเป็นนักร่างกฎหมาย ก็ตอบว่าเกี่ยว เพราะว่าการที่คุณอ่านหนังสือทุกชนิด แม้

กระทั่งนิยายทำให้คุณได้รับรู้ถึงทัศนคติของคนอื่นที่มีต่อสังคม ที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

หรือพฤติกรรมของมนุษย์วิถีชีวิตของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักร่างกฎหมายต้องรู้เพื่อ

ที่จะได้เขียนกฎหมาย เพื่อจะได้ไปใช้กับมนุษย์ได้ ถ้าคุณไม่อ่านหนังสือเลยไม่เปิดหูเปิด

ตาเลย คุณจะรู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรอาจจะเดินทางไปท่องเที่ยวคุณก็เห็นไม่มาก แล้วเรา

ก็ไม่ได้ท่องเที่ยวได้เป็นประจำ ไม่สามารถจะไปสัมผัสกับคนได้ตลอดเวลา การที่เราจะรู้

ชีวิตจิตใจของคน วิธีคิดของคนได้ ไม่จำเป็นต้องสมัครผู้แทนฯ จึงจะรู้ อ่านหนังสือก็รู้ได้

เพราะฉะนั้นข้อเบื้องต้นทีเดียว ก็คือ ต้องเป็นนักอ่านถ้าใครขี้เกียจอ่านหนังสือ เป็นนัก

ร่างกฎหมายไม่ได้ เป็นได้ก็ไม่ดี

                        บัญญัติประการที่ ๒  คือ การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนช่างสังเกต

ถามว่าทำไมนักร่างกฎหมายจึงต้องเป็นคนช่างสังเกต เพราะคุณจะออกกฎหมายไปใช้

กับคนทุกชั้นทุกวรรณะ ในทุกเรื่องทุกราว แทบจะทุกลมหายใจของคน ถ้าคุณไม่สังเกต

สังกา คุณจะรู้ถึงปัญหารู้ถึงอุปสรรค รู้ถึงสิ่งที่ควรแก้ไข รู้ถึงสิ่งที่ควรสนับสนุนได้อย่างไร

คนเราไม่มีวันที่จะเรียนรู้อะไรได้หมดจากโรงเรียน แม้กระทั่งอ่านหนังสือ ถ้าคุณไม่ใช่

เป็นคนช่างสังเกต คุณก็จะไม่ได้อะไรจากหนังสือเหมือนกัน ต่อเมื่อคุณเป็นคนช่าง

สังเกตแล้ว คุณถึงจะได้อะไรจากรอบตัวคุณหมดเลย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะได้ประโยชน์

เวลาเราร่างกฎหมาย เราใช้ความเป็นคนช่างสังเกตตรงไหน จากถ้อยคำในกฎหมาย ถ้า

เราไม่ใช่เป็นคนช่างสังเกต อ่านกฎหมายเราก็จะรื่นหูเพราะเขาเขียนไว้ค่อนข้างรื่น แต่

จะไม่รู้ถึงความแตกต่าง ถ้าเราไม่รู้ถึงความแตกต่างของบทบัญญัติของกฎหมายในแต่

ละมาตรา เราก็เป็นนักร่างกฎหมายไม่ได้ ยังไม่ต้องไปพูดถึงนักตีความกฎหมายคำบาง

คำเขาใช้แตกต่างกันด้วยความจงใจ เห็นได้ชัด คำบางคำเขาใช้แตกต่างกันด้วยความ

พลั้งเผลอก็เห็นได้ชัด สิ่งเหล่านี้จะรู้ได้ต่อเมื่อคุณเป็นคนช่างสังเกตเท่านั้น และการช่าง

สังเกตนั้นจะติดเป็นนิสัย แต่ต้องฝึกฝน ถ้าเราไม่ฝึกฝนเราก็จะยาก แล้วจากประสบ

การณ์ของผมเองผมว่าความรู้ของผมเกือบ ๕๐ % เป็นความรู้จากความช่างสังเกต เป็น

ความรู้ที่ไม่ได้มีใครสอนไม่ได้อ่านจากตำรา จะเป็นความรู้จากการสังเกต เพราะเมื่อเรา

สังเกตแล้วเราจะใฝ่หาต่อไปว่าสิ่งที่เราพบ ความผิดปกตินั้นคืออะไร ซึ่งจะนำไปสู่

บัญญัติที่ ๓

                        บัญญัติประการที่ ๓  คือ การฝึกให้เป็นนิสัยในการที่จะเป็นคนขี้

สงสัย คือ เมื่อพบสิ่งที่เราสังเกตพบเห็นแล้ว ต้องตั้งคำถามว่า ทำไม เมื่อคำถามว่าทำไม

แล้ว ต้องหาคำตอบออกมาให้ได้ ถ้าเราไม่ฝึกเป็นคนช่างสังเกต คำถามที่ว่าทำไมก็จะไม่

เกิด หรือถ้าสังเกตแล้วเป็นคนซังกะตาย ก็จะไม่มีคำถามต่อมาก็เท่านั้น จะไม่รู้ว่าแล้ว

ทำไม

                                พวกเราที่นั่งอยู่ในที่นี้ใครเคยอ่านรัฐธรรมนูญจนจบบ้าง ยกมือซิ มี

อยู่ ๑ คนที่อ่านจบ นับว่าเก่งมาก ความจริงรัฐธรรมนูญเป็นแม่บทสำคัญ สำหรับคนที่

ทำงานที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผมจะอ่านมาตราให้ฟังมาตราหนึ่ง “มาตรา

๔๖ บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี

ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่นและของชาติ และมีส่วนร่วมใน

การจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชมาติ และสิ่งแวด

ล้อมอย่างสมดุลและยั่งยืน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” เมื่อฟังแล้วพบว่าอะไร รื่นหูดี

จัง เป็นสิทธิเสรีภาพใหม่ที่มีคน ๙๙.๙๙% ในประเทศไทยอ่านแล้วต้องชื่นชอบ เพราะ

ฟังแล้วดี แต่ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกต คุณจะพบสิ่งผิดปกติในนี้ ซึ่งนักร่างกฎหมายจะ

ต้องตรวจพบ เขาบอก “บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือ

ฟื้นฟูจารีตประเพณี” คุณพบอะไรตรงนี้บ้างไหม ถามว่าทุกวันนี้โดยสิทธิขั้นมูลฐานคุณมี

สิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณีไหม ก็ตอบว่ามี ที่ไหนมีห้ามไว้ล่ะ คุณเห็นกลอง

ยาวที่ไหนสวย คุณอยากจะฟื้นฟูจารีตประเพณีรำกลองยาว คุณก็ไปรำกันตราบเท่าที่

คุณไม่ไปตีแล้วทำให้คนอื่นเขาเดือนร้อน คุณเห็นภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องการจักสาน

กก ซึ่งมีภูมิปัญญาสูงมาก วิธีการที่จะรักษากกไว้ไม่ให้กรอบ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นถาม

ว่าสิทธิเขาถูกตัดไปตั้งแต่เมื่อไร ไม่เคย สิทธิของคนเรามีมาแต่กำเนิด จนกว่าจะมีอะไร

ห้ามจนกว่าจะมีอะไรไปจำกัด เพราะฉะนั้นที่เขียนว่า “บุคคลซึ่งรวมกันเป็นชุมชนท้อง

ถิ่นดั้งเดิมย่อมมีสิทธิอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี” ก็แปลว่าคุณจะต้องรวมตัวเป็นชุม

ชนท้องถิ่นดั้งเดิมใหม่ ๆ ก็ไม่ได้ด้วย เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าถ้าเราจะเป็นนักร่าง

กฎหมายต้องสังเกตสิ่งเหล่านี้ว่าแปลว่าอะไร ทำไม เพื่อเราจะได้หาคำตอบ การสังเกต

แล้วถามตัวเองว่า “ทำไม” จะทำให้คุณจำสิ่งเหล่านั้นได้ ถ้าคุณอ่านไปเรื่อย ๆ ถามว่าที่

อ่านจบไปแล้วจำได้กี่เปอร์เซนต์ ก็จะตอบว่า ผมเองอ่านแล้วผมก็จำได้ไม่ถึง ๕๐% แต่

ถ้าเรื่องใดที่เราเคยถามว่า “ทำไม” ละก็จำแม่น มีอีกมาตราหนึ่ง “บุคคลย่อมมีเสรีภาพ

ในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน หรือ

หมู่คณะอื่น” มาตรานี้มีมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมีแต่มีที่ผิดแปลกไปอันหนึ่งคือ มีคำว่า

“องค์การเอกชน” เพิ่มขึ้นมา NGO ถ้าเราเป็นคนช่างสังเกต เราก็จะถามตัวเองว่า

“สมาคม” นี่ไม่ใช่ NGO ไม่ใช่องค์การเอกชนหรือ เป็นของรัฐไปตั้งแต่เมื่อไหร่ สห

ภาพสหพันธ์ สหกรณ์ พวกนี้ไม่ใช่เอกชนหรือ ในเชิงร่างกฎหมายนะ แต่ว่าก็ไม่เป็นไร นี่ก็

เป็นแต่เพียงเขียนขึ้นมาให้มากขึ้น ข้อสำคัญก็คือว่า เขาก็มีบอกต่อไปว่า “การจำกัดเสรี

ภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

เฉพาะเพื่อคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือ

ศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันมิให้มีการผูกขาดตัดตอนในทางเศรษฐกิจ”

ถามว่าด้วยสาระสำคัญของกฎหมายอย่างนี้เราออกกฎหมาย ห้ามตั้งกลุ่มเกษตรกรได้

หรือไม่ ก็ตอบว่าไม่ได้ เพราะเราจะไปอ้างอะไร จะไปอ้างเพื่อคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวม

ของประชาชนก็ไม่ได้ รักษาความสงบเรียบร้อยก็ไม่ได้ เพื่อไม่ให้เกิดการผูกขาดตัดตอน

ก็ไม่ได้ แต่กฎหมายที่ผ่านสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไป มีบทบัญญัติห้ามตั้ง

กลุ่มเกษตรกร แปลว่าเราไม่ได้เฉลียวใจ เราไม่ได้สังเกต ก็เขียนเกิน ตั้งใจจะส่งเสริม

สหกรณ์ก็บังคับเลยว่า ใครที่เป็นกลุ่มเกษตรกร ครบ ๓ ปี แล้วไม่มาจดทะเบียนเป็น

กลุ่มสหกรณ์ต้องยุบเลิก ฟังดูก็เหมือนมาตรการธรรมดา แต่ถ้าเราไม่สังเกตสังกาจดจำ

ไว้ว่ารัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าอย่างไร เราก็จะปล่อยกฎหมาย อย่างนั้นหลุดออกไปได้

                        บัญญัติประการที่ ๔  ข้อนี้สำคัญ คือ ต้องเป็นคนไม่ประมาท ถาม

ว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ประมาท ก็คือ ต้องตรวจสอบข้อมูล ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับตัวบท

กฎหมายอยู่เสมออย่าปล่อยผ่านเลยไปง่าย ๆ อย่านึกว่าตัวจำได้ ๓ ข้อที่ผ่านมานี้จะ

สอดคล้องกัน ๑. ช่างสังเกต ๒. ต้องถาม ๓. ถามแล้วต้องตรวจสอบ ถ้าเราเริ่มต้นไม่

สังเกตอีก ๒ ข้อหลังก็หมดแล้ว สังเกตแล้วไม่สอบถาม ข้อที่ ๓ ก็หมด ถ้าสอบถามแล้ว

ไม่ทำข้อที่ ๓ ความรู้ก็ไม่เพิ่มพูน ข้อที่ ๓ คือการตรวจสอบ เมื่อเช้ามีใครไม่ได้อ่าน

หนังสือพิมพ์บ้าง ไม่มี ทุกคนอ่านหนังสือหมด ใครอ่านข่าวที่กรรมาธิการจะเรียกภรรยา

รัฐมนตรีไปสอบบ้าง ได้ข่าวกันทุกคนใช่ไหม มีใครตั้งคำถามกับตัวเองว่า กรรมาธิการมี

อำนาจเรียกไปสอบหรือเปล่า ตั้งคำถาม ถามกันไหม ไม่ได้คิดเลยใช่ไหมมีปัญหาก็ช่าง

ปะไร ไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ได้ นักร่างกฎหมายต้องถามตัวเอง เออ! มีปัญหา ปัญหาอยู่ที่

ไหน ปัญหาอยู่ที่ว่ากรรมาธิการเรียกคนนอกไปสอบได้หรือไม่ ถามว่าแล้วจะตรวจสอบ

อย่างไร เปิดรัฐธรรมนูญสิ เขาเถียงกันออกลั่นบ้าน แต่โดยปกติคนธรรมดา พอเวลาอ่าน

หนังสือพิมพ์ พอเขาอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๘๙ รัฐธรรมนูญว่าไว้ว่า กรรมาธิการมี

อำนาจหรือไม่มีอำนาจ คนธรรมดาก็จะฟังตามหนังสือพิมพ์แล้วก็ยุติกันตรงนั้น แต่นัก

ร่างกฎหมาย ฟังอย่างนั้นไม่ได้ ใช้ไม่ได้ นักร่างกฎหมายต้องรีบหยิบรัฐธรรมนูญ แล้ว

เปิดมาตรา ๑๘๙ มาดูว่าเป็นอย่างไรแล้ววินิจฉัยด้วยตัวเองว่าใช่หรือไม่ใช่ แล้วตอนนี้

ต่อให้ใครมาถามเราเราก็จะจำไปจนตาย ทุกวันหนังสือพิมพ์จะมีเรื่องที่หยิบเป็นประเด็น

ทางกฎหมายขึ้นมาได้ทั้งสิ้น แต่ผมคิดว่าพวกคุณน้อยคนนักที่จะไปเปิดกฎหมายดูว่า

แล้วจริง ๆ เป็นอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เป็นนักร่างกฎหมาย เป็นนักกฎหมาย เพราะนึกว่าเรารู้

ตรงที่นึกว่าเรารู้นี่คือความประมาท ในชีวิตผมเคยทำ ๒ ครั้งที่นึกว่าตัวเองรู้ แล้วไม่เปิด

แล้วผิดจริง ๆ เพียงแต่ว่าพื้นฐานความจำดีกว่าทั่ว ๆ ไปหน่อย ผิดก็ผิดไม่จัง ทุกวันนี้ผม

ยังต้องเปิด ผมเปิดทุกครั้ง แม้ว่ารัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ผมเขียนมากับมือ จะจำได้เป็น

ส่วนใหญ่ แต่ก็เปิด เปิดทุกครั้ง ขนาดกำลังจะหลับมิหลับแหล่ได้ยินเสียงใครพูดถึงมือ

ผมต้องคว้า ผมใช้กฎหมายเปลืองที่สุด รัฐธรรมนูญที่ผมใช้ออกมาไม่ทันเท่าไร ผมทำ

หายไปแล้ว ๑๐ กว่าเล่ม เพราะอยู่ที่ไหนผมก็ติดไปแล้วก็วาง แล้วก็ลืมทิ้ง แต่ต้องมีอยู่

ข้าง ๆ มือเสมอกฎหมายอะไรที่กำลังพูดอยู่ในสังคมปัจจุบัน ผมจะต้องมีอยู่ข้าง ๆ มือ

เสมอ เพราะเราต้องถามตัวเราเองว่า ปัญหานั้น ๆ ว่าอย่างไร กฎหมายว่าอย่างไร เรา

เป็นนักร่างกฎหมายแล้วเราตอบไม่ไ้ว่ากฎหมายว่าอย่างไรนี่ เราขายหน้า แล้วเราจะ

เป็นนักร่างกฎหมายที่ดีไม่ได้เลย ผมสังเกตในการประชุมกรรมการร่างกฎหมาย เดี๋ยวนี้

เลขานุการไม่ค่อยสงสัยว่ากฎหมายว่าอย่างไร อาศัยความจำเป็นส่วนใหญ่ แล้วผมพบ

ว่าอายุน้อยกว่าผมหลายเท่า แต่ความจำยังสู้ผมไม่ได้เลย เพราะตอนที่ผมจำกฎหมาย

เหล่านี้ ผมอายุเท่าพวกคุณ ผมจึงยังจำได้ ถ้าให้มาท่องตอนนี้ผมก็จำไม่ได้แล้ว อะไรที่

ท่องตอนนั้นจะจำไปตลอดชีวิต สิ่งที่เราต้องทำเป็นประจำก็คือความไม่ประมาทความ

ไม่ประมาทก็คือ การตรวจสอบ การตรวจสอบนั้นจะทำให้จำ จำไปจนตาย

                                บัญญัติประการที่ ๕  คือ ต้องทำตนเป็นคนใจกว้าง เพื่อที่จะได้รับ

ฟังความคิดเห็นของคนอื่นไว้เสมอ ถ้าเราทำตัวเป็นน้ำชาล้นถ้วยขึ้นมาเมื่อไร ก็เท่ากับ

เราทิ้งโอกาสที่จะได้ความรู้จากคนอื่น เจอโจร โจรเล่าวิธีปล้นให้ฟัง ยังต้องฟังเลย ถาม

ว่าแล้วจะเกิดประโยชน์อะไรในเมื่อเราไม่เคยคิดไปปล้น จะได้รู้เวลาปล้น เขาปล้นกัน

อย่างไร จะได้ป้องกันได้ถูก อย่าไปคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่เกิดกับเรา คนขับรถเจอเขา

เขาคุย เราก็ฟังเขาคุยได้เรื่องบ้าง ไม่ได้เรื่องบ้างได้มาสัก ๑% ก็ยังดี พวกนี้เก็บเล็กผสม

น้อย แล้ววันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งเหล่านี้คุณไม่สามารถจะไปเรียนรู้ได้ที่มหาวิทยาลัย

อะไรได้เลย เพียงเพราะจากการฟังคนเท่านั้น เพราะฉะนั้นความคิดเห็นของคน เราต้อง

ฟัง ผมพบว่าเลขานุการกรรมการร่างกฎหมายบางคนดูถูกภูมิปัญญากรรมการ เพราะ

นึกว่าท่านไม่จบกฎหมาย ท่านจะมารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับกฎหมาย แต่นึกไว้เถิดครับว่า

คนที่เขาจะได้รับแต่งตั้งมาเป็นกรรมการร่างกฎหมาย เขาต้องมีดีทางใดทางหนึ่ง ถึงแม้

จะไม่เก่งทางกฎหมายแต่เขาต้องเคยใช้กฎหมายมา เขาจะรู้ตื้นลึกหนาบาง อุปสรรค

ของกฎหมายเหล่านั้น โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะของเขา เพราะ

ฉะนั้นฟังเขาไว้ บางคนอาจจะนึกว่า ปัดโธ่ ท่านไม่ใช่นักกฎหมาย ท่านจะมาพูดอะไร

เรายิ่งต้องฟังเพราะอะไร เพราะเราออกกฎหมายไปใช้บังคับกับคนที่ไม่ใช่นักกฎหมาย

ทั้งโลก ทั้งประเทศจะได้รู้ว่าคนที่ไม่ใช่นักกฎหมาย เขาคิดอย่างไรกับกฎหมายที่เราร่าง

เราไม่ได้ออกกฎหมายไปใช้บังคับกับนักกฎหมายนี่ครับ ความคิดของนักกฎหมายนี่ฟัง

น้อยหน่อยก็ยังได้ แต่ต้องฟังคนที่เขาไม่มีความรู้ทางกฎหมาย แล้วเราถึงจะรู้ว่า ที่เรา

เขียนอย่างนี้นี่ เรานึกว่าเจ๋งแล้วนี่ ชาวบ้านเขาคิดอย่างไร สิ่งที่เราจะได้รับฟังจากคนอื่น

จึงจะเป็นประโยชน์บ้างเสมอ ไม่ว่ามากก็น้อยถ้าเราเปิดใจรับฟังไว้ บางคนนี่เขายังพูด

ไม่ทันจบเลย อ๋อ! แล้ว ไม่ฟังแล้ว นึกว่าเป็นประเด็นเดียวกัน เพราะบางคนเขามีวิธีพูด

ในการที่จะชักแม่น้ำทั้ง ๕ แล้วตัวจริงของเขาไปอยู่ในตอนสุดท้าย พอเรา อ๋อ! ... เสีย

กลางคัน สุดท้ายที่ควรจะได้เลยไม่ได้เลย อุตส่าห์ฟังไปตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว เสียแรงเปล่า

ถามว่าแล้วเราจะรู้ไปทำไม ความคิดความอ่านของคนนี่ เป็นประโยชน์ต่องานร่าง

กฎหมาย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำให้รู้วิธีคิดของคนทั่ว ๆ ไป เวลาเราเขียนกฎหมาย เราจะ

ได้คำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาประกอบกันได้

                                บัญญัติประการที่ ๖  คือ การฝึกหัดจับประเด็น ต้องจับประเด็นให้

แม่นแล้วรวดเร็ว ถามว่าจะฝึกได้อย่างไร ฝึกก็ต้องฝึกกันเอง หัดถกเถียงกันเอง เพื่อสร้าง

ทักษะเวลาเราจะเถียงกับคน เราต้องคิดตามไปด้วย เพื่อจะได้เถียงกับเขาได้ นั่นคือการ

ฝึก ไม่ใช่เขาด่าเราไปจนจบแล้ว เรายังไม่รู้ว่าเขาด่าเราเรื่องอะไร แปลว่าการจับประเด็น

ของเราแย่แล้ว ถ้าเรามีความสามารถอย่างที่เขาด่าเราได้ ๓ คำ เราก็รู้แล้วว่าเขาด่าเรา

เรื่องอะไร แปลว่าเราจับประเด็นถูก เราก็จะได้มีเวลาคิด ถ้าเราจับประเด็นเร็ว เราจะมี

เวลาคิดพอที่จะไปตอบโต้เขาได้ไม่ต้องฟังตอนท้ายแล้ว เราจับประเด็นได้แล้วว่าเรื่องนี้

เรื่องอะไร แล้วเราก็คิดโต้ตอบ นั่นคือการฝึกกันนะ ฝึกกันเอง ฝึกกันไปจนถึงจุด ๆ หนึ่ง

เราจะต้องทำได้ ๓ อย่างพร้อม ๆ กัน คือ ฟัง คิด แล้วเขียน ในเวลาเดียวกัน ถ้าทำถึงตรง

นั้นได้เมื่อไร คุณจะเป็นนักร่างกฎหมายที่สมบูรณ์คุณฟังเขาไปด้วย แล้วคิดไปด้วย แล้ว

เขียนเลย คุณร่างกฎหมายออกมาได้เลย ถ้าเก่งถึงขนาดอาจจะเถียงกับเขาไปด้วย แล้ว

ยังเขียนต่อได้ด้วย แต่ว่าอย่าไปถึงขั้นนั้นเลย เดี๋ยวจะลำบากเอาแค่ ๓ ขั้นนั้นก็พอ ถาม

ว่าทำไมจึงต้องหัดเถียงกันเองในหมู่เพื่อนฝูง เพราะกฎหมายนั้นนั่งคิดคนเดียวไม่ได้

อย่านึกว่าเราจะเป็นคนรอบคอบมีความรู้ ทักษะกว้างขวางขนาดไหน แล้วเราเขียน

กฎหมายได้ด้วยตัวเองจบทั้งฉบับ ไม่มีใครทำได้ ไม่เคยมีใครในโลกนี้ทำได้ ถ้าจะมีใน

หมู่พวกคุณสักคนสองคนก็เป็นเรื่องวิเศษพิสดารมาก เพราะอะไร เพราะกฎหมายนั้นใช้

กับคนทุกชั้นทุกระดับทุกเพศทุกวัย คนทุกชั้นทุกเพศทุกวัย มีวิธีคิดที่แตกต่างกัน คำถาม

จะประดังเข้ามาตลอด ถ้าอย่างนั้นล่ะ ถ้าอย่างโน้นละ ถ้าอย่างนี้ล่ะ คน ๆ เดียวจะไม่มี

วันคิดได้ครบถ้วนในทางปฏิบัติเวลาที่เขาเขียนเขาทำ จึงต้องใช้คนหนึ่งเขียน แล้วอีก ๒-

๓ คนมาอ่าน คนเขียนจะมาอ่านไม่ได้ เพราะว่าชินแล้ว ต้องให้คนที่มีความคิดอีกแนว

หนึ่งแล้วมาอ่าน แล้วเขาจะตั้งคำถาม ๆ เรา แต่ทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราหัดจับ

ประเด็นให้แม่น แล้วจับได้ด้วยความรวดเร็ว แต่ทั้งหมดพวกคุณทุกคนเรียนกฎหมายมา

แล้ว เรียนกฎหมายต้องจับประเด็นกันอยู่แล้วเพราะฉะนั้นพื้นฐานก็ดีพอสมควรในการที่

จะฝึกทำให้เร็วขึ้น ให้แม่นยำขึ้น ก็ไม่เป็นเรื่องยาก

                                บัญญัติประการที่ ๗  คือ การหัดเขียนกฎหมายเป็นประจำ ถามว่า

เขียนอย่างไรยกร่างพระราชบัญญัติลอย ๆ ขึ้นมาอย่างนั้นหรือ พวกคุณคงไม่มีเวลาถึง

ขนาดนั้นที่จะเขียนอะไรเล่น ๆ แต่ถ้ามีเวลาเมื่อไร ขั้นที่สุดลอกกฎหมายก็ยังดี ถามว่า

ทำไมถึงต้องลอก เพราะมือคุณจะชิน บทบัญญัติที่ว่าด้วยอนุญาตหรือการประชุม การ

ออกคะแนนเสียงของกรรมการที่อ่านกันมากี่ ๑๐ เที่ยว ถ้าให้เขียนเดี๋ยวนี้คุณเขียนถูก

ไหม เขียนไม่ถูก พอเขียน ๆ ไป เอ๊ะ ตรงนี้ใช้คำว่าเสียง หรือคำว่าคะแนน แต่ถ้าคุณ

เขียนลอกมา มือก็จะชิน วันหนึ่งพอคุณชินในเรื่องหลัก ๆ ต่าง ๆ พอจะต้องจับงานร่าง

ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะออกมาอย่างที่เรียกว่าไม่ต้องใช้ความคิดเลย แล้วก็ทุ่นเวลาในการที่

จะไปคิดเรื่องหลักสำคัญ ๆ แทนที่จะต้องมานั่งเปิดดูทุกที เอ๊ะตรงนี้มีคำว่า “ให้” ไหม

ตรงนี้มีคำว่า “ขึ้น” หรือเปล่า ซึ่งเสียเวลาเปล่า ๆ

                        บัญญัติประการที่ ๘  คือ การเก็บเกี่ยวความรู้จากผู้ทรงคุณวุฒิ

จากกรรมการร่างกฎหมายที่ท่านมาประชุมเป็นประจำ นี่คือแหล่งความรู้ที่เราจะเก็บ

เกี่ยวได้ ถ้าฟังเวลาท่านคุย เวลาท่านแก้กฎหมายหรือออกความคิดเห็น เราคิดตามไป

ด้วย แต่อย่าไปเชื่อทันที อย่าไปคิดว่าพอท่านพูดอย่างนั้น แล้วต้องเป็นอย่างนั้น เราหัด

เถียงท่านอยู่ในใจได้ แล้วก็ฟังเขาไปบางทีบางครั้ง เถียงไปเถียงมาก็อาจจะเป็นอย่างที่

เราเถียงอยู่ในใจก็ได้ ถ้าเราจับประเด็นได้ถูกต้อง ก็จะออกมาตามนั้นแหละ เพราะจะหนี

ไปไหนไม่พ้น นั่นก็เป็นการฝึกทักษะของเรา ข้อสำคัญอย่าปล่อยเลยเมื่อเราเกิดข้อสงสัย

เลิกประชุมแล้วไปถามท่าน เราจะได้ความรู้เพิ่มเติมอย่าไปคิดว่าเป็นคำถามขี้เท่อ ไม่

คำถามทุกคำถามจะต้องขี้เท่อมาก่อน แล้วถึงจะเฉียบคมทีหลังสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เรา

สามารถจะรวบรวมให้เกิดเป็นความรู้ความชำนาญของเราได้

                        บัญญัติประการที่ ๙  คือ ต้องมีความรอบคอบในการตรวจสอบ

เอกสาร ตรวจสอบข้อมูล แล้วต้องตรวจสอบในหลาย ๆ แหล่ง อย่างตรวจสอบเพียง

แหล่งเดียว เราชอบพูดกันเรื่อยว่า บัญญัตินี้เป็นไปตามแบบ เราไม่ได้ไปตรวจสอบแบบ

อันนั้นว่าแล้วในฉบับอื่นเขาเขียนอย่างไร ทำไมจึงเขียนแตกต่างกัน แล้วแตกต่างกัน

เพราะอะไรเป็นวิวัฒนาการหรือเป็นความผิดพลาด ถ้าเป็นวิวัฒนาการ เราก็จะได้รู้ที่มา

ที่ไป ถ้าเป็นความผิดพลาดเราก็จะได้รู้ว่าเราไม่ควรจะไปเลียนแบบ ใครจะสังเกตเห็น

ไหมว่า บทบัญญัติที่เราเขียนกันว่า “ให้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลม” กฎหมายสมัยก่อน

กับกฎหมายสมัยนี้จะเขียนแตกต่างกัน สมัยนี้จะเขียนว่า“ให้นำความในมาตรา ๔๑,๔๒

,๔๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม” ฟังดูก็รู้เรื่องใช่ไหม แต่สมัยก่อนไม่เขียนอย่างนั้น เขียนว่า

“ให้นำความในมาตรา ๔๑,๔๒,๔๓ มาใช้บังคับกับการแต่งตั้ง การถอดถอน หรือการ

โยกย้ายข้าราชการตามมาตรานี้ด้วยโดยอนุโลม” ถามว่าทำไมถึงต้องเขียนอย่างนั้น

เพราะสิ่งที่คุณนำมาใช้บังคับนั้น เขียนไว้สำหรับเรื่องหนึ่ง คุณจะมาใช้บังคับกับอะไร

โดยอนุโลมคุณต้องบอก แต่มาในปัจจุบันเมื่อไม่รู้ว่าเขาเขียนเอาไว้ทำไม ก็นึกว่าเขียน

ซ้ำ ก็ตัดออกเสีย เพื่อให้สั้นเข้า ก็เลยเขียนว่า “มาใช้บังคับโดยอนุโลม” ในที่สุดพอถึง

เวลาก็ต้องไปตีความว่านำมาใช้อะไรบ้าง บางเรื่องเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้นำมาใช้ แต่เมื่อ

เขียนรวมไปอย่างนี้เลยนำมาใช้ ทำให้ผลของกฎหมายเสียไปเลยก็มี เพราะฉะนั้นต้องดู

ให้ละเอียดว่า สิ่งที่จะนำมาใช้บังคับโดยอนุโลมนั้น เอามาทั้งหมดจริง ๆ หรือ และจะมา

ใช้กับอะไร ความถึงจะสมบูรณ์เขียนว่า “มาใช้บังคับโดยอนุโลม” ไม่รู้ว่าบังคับกับอะไร

ทีนี้ถ้าเราไปเปิดแบบในระยะหลัง ส่วนใหญ่ก็จะเปิดระยะหลัง เราก็จะลอกสิ่งเหล่านี้มา

โดยเราไม่รู้ว่าเป็นความผิดพลาด หรือว่าเป็นวิวัฒนาการของการเขียนกฎหมาย อีกตัว

อย่างหนึ่งก็คือว่าใครจะสังเกตเห็นบ้างไหมว่าในท้ายเหตุผลจะมีคำสุดท้ายที่ว่า “จึงจำ

เป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้” แต่ก่อนนี้จะมีความว่า“จึงจำเป็นต้องตราพระราช

บัญญัตินี้ขึ้น” แต่เดี๋ยวนี้คำว่า “ขึ้น” ไม่มีแล้ว ถามว่าคำว่า “ขึ้น”มาจากไหน ถ้าไปอ่าน

คำปรารภก็จะพบว่าคำปรารภตอนสุดท้าย หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

แล้วจะมีความว่า “จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไป

นี้” ถามว่าอาการกิริยารองรับการตราพระราชบัญญัติคือคำว่า “ขึ้น” ตราพระราช

บัญญัติขึ้นไว้ดังต่อไปนี้ เพราะฉะนั้นตอนเหตุผลถึงได้บอกว่า “จึงจำเป็นต้องตราพระ

ราชบัญญัตินี้ขึ้น” คำจะสอดคล้องกัน แต่บัดนี้เราคิดว่าคำว่า “ขึ้น” ที่อยู่ท้ายเหตุผลนี่ไม่

มีความหมายเราก็ตัด คำว่า “ขึ้น” นี่ทั่วไป แต่คำว่า “ขึ้น” ใน “จึงทรงพระกรุณาโปรด

เกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้” ยังมีอยู่ นี่ก็เป็นวิวัฒนาการของแนว

ความคิด แต่เป็นวิวัฒนาการที่ไม่รู้ว่าทำไม คำว่า “ขึ้น” ในเหตุผลจึงมีอยู่บังเอิญเรื่องนี้

ผมรู้เพราะเป็นสิ่งแรกที่ผมสังเกต เมื่อผมเข้ามาทำงานที่นี่ ผมก็ไปเรียนถามกรรมการ

ร่างกฎหมาย เพราะลงท้ายจะต้องลงอย่างนี้ทุกที “จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้

ขึ้น” ผมจึงเรียนถามกรรมการร่างกฎหมาย ท่านเจ้าคุณอรรถการีย์นิพนธ์ ถามว่า ใต้เท้า

ครับ ทำไมจึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้ขึ้น ทำไมจึงต้องมีคำว่า “ขึ้น” ท่านก็

อธิบายให้ฟังว่าจะได้สอดคล้องกับคำว่า “ขึ้นไว้ดังต่อไปนี้” เขียนให้สอดคล้องกัน คำ

ถามเหล่านี้พอเวลาเราไปตรวจสอบกับคนที่เขามีความรู้เราก็จะได้ความรู้เพิ่มเติม อย่าง

น้อยที่สุดถึงจะเปลี่ยนแปลงไปในวันข้างหน้า เราก็จะได้รู้ว่าทำไมถึงเปลี่ยนแปลงไป มี

การเปลี่ยนแปลงไป เพราะอะไร ถ้าเราไม่คอยตรวจสอบกับเอกสารหลาย ๆ แหล่ง หรือ

กฎหมายหลาย ๆ ฉบับ เราก็จะหลงลอกเลียนสิ่งที่ผิดพลาด แล้วก็ยึดถือสิ่งที่ผิดพลาด

นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องเรื่อยไป

                                บัญญัติประการที่ ๑๐  เป็นบัญญัติประการสุดท้าย คือ ต้องหัด

เป็นคนสนใจในเหตุการณ์รอบตัว แล้วตอบปัญหาในเชิงกฎหมายให้ได้ ถามว่าทำไมเรา

จึงต้องสนใจเหตุการณ์รอบตัว เพราะนอกจากเป็นการสร้างทักษะของเราเอง สร้าง

ความรู้ให้เกิดขึ้นแล้ว ความรู้รอบตัวนั้น ข้อมูลรอบตัวเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ในเวลาที่

เราเขียนกฎหมาย อย่างน้อยที่สุดจะเป็นข้อเท็จจริงที่เราจะไปถกเถียงกับเจ้ากระทรวง

เขาได้ว่า ที่คุณบอกว่าอย่างนั้นไม่จริง เพราะตอนนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าเราจำเหตุการณ์

เหล่านั้นได้ แต่ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือว่า ช่วยทำให้เราฝึกฝนคำถามคำตอบในเชิง

กฎหมาย แล้วเมื่อเราเป็นคนสังเกตสังกา เป็นคนตรวจสอบข้อมูลกับกฎหมายสิ่งเหล่านี้

ก็จะทำให้เราจำกฎหมายได้ และเราตอบได้โดยไม่ผิดพลาด ไม่มีใครหรอกครับที่จะจำ

กฎหมายได้หมดทุกฉบับ และสามารถตอบโดยไม่ต้องดูเลยในปัญหาทุกปัญหา หรือใน

ประเด็นทุกประเด็น คนที่เขาตอบปัญหากันทางหน้าหนังสือพิมพ์ เราจะพบว่าผิดพลาด

อยู่เรื่อย ๆ นั่นเพราะเขาเชื่อความจำของเขา เขาไม่เปิด ทำไมคนที่ทรงภูมิปัญญาจบ

ดอกเตอร์อะไร ตอบปัญหาทางกฎหมายต่อผู้สื่อข่าวถึงได้ผิดพลาดอยู่เรื่อย เพราะเขาไม่

เคยเปิด แล้วเมื่อพื้นฐานทางกฎหมายเขาสู้พวกเราไม่ได้อยู่แล้ว พวกเราเป็นนักร่าง

กฎหมายเปิดกฎหมายกันอยู่เป็นประจำถ้าเราเปิดดูอีกครั้งหนึ่งด้วย ยิ่งไม่มีทางที่ใครจะ

สู้เราได้ ข้อสำคัญเราอย่าประมาทเหมือนคนอื่นแล้วกัน ไม่ใช่ เอ๊ย! เพิ่งเปิดดูเมื่อวาน ถ้า

จำได้แม่นยำละก็ โอ.เค ดูเมื่อวานได้ แต่ถ้าไม่แน่ใจต้องเปิด ๆ แล้วก็ตอบคำถามเหล่า

นั้นเสียในเชิงกฎหมายให้ได้

                                นั่นก็เป็นข้อมูลสำหรับการที่จะเป็นนักร่างกฎหมายที่ดีได้ คนที่จะ

เป็นนักร่างกฎหมายแล้วปราศจากบัญญัติ ๑๐ ประการนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นนักร่าง

กฎหมายได้ อย่าว่าแต่ “ที่ดี” นะ ไม่มีทางเลยที่จะเป็นนักร่างกฎหมายได้ นักลอก

กฎหมายละก็ได้ คือลอก ไปหยิบตรงนั้นมาที ตรงนี้มาทีแล้วมาใส่ แล้วจะหาความ

สัมพันธ์ไม่ได้ ถ้านักร่างกฎหมายจริง ๆ ต้องคิดเองเป็น การจะคิดเองเป็นได้จะต้องสั่ง

สมสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไว้ แล้วจึงจะคิดได้ กฎหมายสมัยใหม่จะเป็นกฎหมายซึ่งค่อนข้าง

จะเกี่ยวข้องกับวิทยาการมากขึ้น นับวันที่นักกฎหมายจะร่างกฎหมายโดยลำพังเองไม่ได้

นี่มากขึ้นทุกวันจะต้องไปอาศัยคนที่เขามีพื้นฐานความรู้ทางด้านนั้น ๆ มานั่งอธิบาย

เพื่อว่าเราจะได้เขียนกฎหมายให้สอดคล้องก็สิ่งที่เป็นจริงให้ได้ ซึ่งนั้นจะยิ่งยุ่งยากมาก

ยิ่งขึ้น เพราะว่าเราจะต้องไปเริ่มเรียนความรู้ใหม่ ถ้าเราโชคดีไปเจอคนซึ่งเขาอธิบายให้

เข้าใจง่าย ๆ เราก็จะเข้าใจได้ ถ้าไปเจอคนที่เขาเป็นแต่ครูบาอาจารย์อธิบายแต่ทาง

ทฤษฎีไม่สามารถอธิบายในภาคปฏิบัติให้คนธรรมดาเข้าใจได้ เราก็จะลำบากมากขึ้น

การเขียนกฎหมายก็จะยากขึ้น เพราะฉะนั้นอย่านึกว่าความรู้ทั่วไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น

สำหรับเรา

                                เมื่อสักครู่ ผมพูดถึงเรื่องกรรมาธิการมีอำนาจเรียกภรรยารัฐมนตรี

มาสอบได้หรือไม่ แล้วในความคิดแว๊บหนึ่งของพวกคุณมีใครคิดว่าเดี๋ยวกลับไปจะไป

เปิดดูมีบ้างไหมอย่าประมาทนะครับ อย่านึกว่าไม่เกี่ยวกับเรา เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับ

กฎหมายต้องเกี่ยวกับเราเสมอเก็บไว้เป็นความภูมิใจเงียบ ๆ ก็ได้ ว่าคำตอบเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นต้องติดตามแล้วก็อย่าปล่อยเลยไป ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป ถ้าได้ยินเข้ามาแว๊บหนึ่ง

ต้องรีบเปิด หรือถ้ามั่นใจว่ารู้จริง ๆ บังเอิญท่องมาตรานั้นได้ เราก็ตอบคำถามของเราอยู่

ในใจ การฝึกทักษะด้วยวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ลงทุนน้อยที่สุด แล้วได้ผลดีที่สุด มีคนเคย

บอกว่าผมเป็นตู้กฎหมายเคลื่อนที่ ซึ่งไม่จริงผมจำไม่ค่อยได้หรอก ผมใช้วิธีนี้ พอเจอ

อะไร ผมก็เปิดดูกฎหมายก่อน ถ้ายังหากฎหมายไม่ได้ ผมก็ยังไม่ยอมพบใครเลยจนกว่า

ผมจะหากฎหมายได้ แล้วพอได้ดูว่าเป็นจริงอย่างที่เราคิดเราก็อุ่นใจเวลาเราตอบใครเรา

ก็ไม่ผิดพลาด ทั้งที่จริงผมจำกฎหมายได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะว่าเมื่อเราร่างกฎหมายกัน

ไปเยอะ ๆ เราจะพบว่าหลักกฎหมายจะคล้ายคลึงกันหมด สมมุติมีกฎหมายว่าด้วยเรื่อง

ใบอนุญาตขึ้นมา เราหลับตาเห็นเลยว่า ๑. จะต้องมีบทบัญญัติว่าด้วยผู้อนุญาต ๒. จะ

ต้องมีกฎเกณฑ์ในการอนุญาต ๓. จะต้องมีบทบัญญัติว่าด้วยว่าถ้าใครไม่อนุญาต

แล้วจะต้องมีบทลงโทษ ๔. จะต้องมีบทบัญญัติว่าถ้ามีใบอนุญาตแล้วจะต้องติดเอาไว้ที่

ไหนถ้าใครทำหายจะต้องถูกลงโทษ จะต้องทำอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะต้องมีอยู่ เพราะ

ฉะนั้นบางทีเข้าตาจนจริง ๆ ก็ใช้ความรู้นี้ไปตอบได้ เราจะยืนยันเขาได้เลยว่าต้องมีที่ใด

ที่หนึ่งนั่นแหละไปเปิดดูได้เลย เดี๋ยวต้องมี จะต้องมีเพราะว่าเวลาเราร่างกฎหมาย เราก็

ต้องร่างอย่างนี้ ถึงใครร่างก็ต้องร่างอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถ้าเราจำหลักต่าง ๆ เหล่านี้ได้

จะช่วยเราได้เยอะ


 

 

 

 

 

 

 

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57

ร่างกฏหมายที่น่าสนใจ
ความเห็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ 
งานวิจัย
บทความทางกฎหมาย
บุคลากร
จัดซื้อ / จัดจ้าง
กฤษฎีกาสาร  
ข่าวประชาสัมพันธ์
สำนักกฎหมายปกครอง
  
บริการอื่น ๆ
เสนอแนะ - ติชมเว็บไซต์



สำหรับทำให้ IE เปิดไฟล์ TIFF ได้
© สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๕ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  
เว็บไซต์นี้เหมาะสำหรับจอภาพขนาด 1,024 x 768 พิกเซล