ปาฐกถา
เรื่อง
กระบวนการร่างกฎหมายในมุมมองของฝ่ายบริหาร
โดย ศาสตราจารย์ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
ในการสัมมนา เรื่อง การปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
วันที่ ๑๗-๑๙
กันยายน ๒๕๔๗ ณ โรงแรมรีเจนท์ ชะอำ
จังหวัดเพชรบุรี
เรียนท่านอดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ท่านรองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ท่านกรรมการร่างกฎหมายประจำ
เพื่อนข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆ ทุกท่าน
และต้องขอขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ได้จัดให้มีการสัมมนาเรื่องเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายในส่วนของฝ่ายบริหารขึ้น
ซึ่งเท่ากับเป็นการสนองนโยบายของรัฐบาลในเรื่องของกฎหมายเป็นอย่างดี
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าภารกิจหลักของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
คือเป็นที่ปรึกษากฎหมายของฝ่ายรัฐบาล หมายความว่า
หากรัฐบาลมีปัญหาข้อกฎหมายโดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับการใช้ถ้อยคำในกฎหมายฉบับใดก็ตามก็จะส่งไปให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็น
หรือที่เรียกว่าการตีความกฎหมาย
อีกด้านหนึ่งก็เป็นภารกิจในการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย
ไม่ว่าจะเป็นร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชกำหนด ร่างพระราชกฤษฎีกา ร่างกฎกระทรวง ร่างประกาศกระทรวง
ตลอดจนร่างระเบียบต่างๆ
ซึ่งหากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า
ร่างกฎหมายที่ส่งมาให้ตรวจพิจารณานั้นมีข้อที่ควรปรับปรุงหลายประการ
ก็อาจจะต้องมีการแก้ไขปรับปรุงหรือยกร่างกฎหมายนั้นเสียใหม่
หรืออาจมีกรณีที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเฉพาะหลักการของกฎหมาย
และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณายกร่างกฎหมายขึ้นทั้งฉบับ
และหากมีความจำเป็นที่จะต้องมีการรับฟังความคิดเป็นของประชาชนประกอบการพิจารณาก็ให้ดำเนินการไปพร้อมกันด้วย
โดยที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีภารกิจหลักทั้งสองประการนี้เอง
จึงทำให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในการร่างกฎหมาย
และเป็นองค์กรที่ทราบถึงข้อบกพร่องของกระบวนการร่างกฎหมายเป็นอย่างดี
ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายที่จะปรับเปลี่ยนในเรื่องกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
จำเป็นที่จะต้องเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารจากหน่วยงานต่างๆ
มาประชุมเพื่อพิจารณาหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
จึงเป็นที่มาของการสัมมนาในครั้งนี้
คงจะมีคำถามในใจเกิดขึ้นกับบรรดาผู้แทนของส่วนราชการต่างๆ
ว่า ในเมื่อภาระหน้าที่เกี่ยวกับการร่างกฎหมาย
เป็นภาระหน้าที่หลักของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว จะมีความจำเป็นแค่ไหนเพียงใด
ที่จะต้องเชิญหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาร่วมรับฟังและร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย
ซึ่งจะขอตอบคำถามดังกล่าวโดยการอุปมา เสมือนว่ากระบวนการร่างกฎหมายเป็นการทำอาหาร
รัฐบาลเป็นผู้สั่งอาหาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นพ่อครัว
ก็ควรจะเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่จะต้องเป็นผู้ปรุงอาหารและเสนอไปยังรัฐบาลไปโดยตรง
ไม่จำเป็นต้องเรียกหน่วยงานอื่นๆ เข้ามาร่วมกระบวนการ
ซึ่งการคิดเช่นนี้ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากในกระบวนการร่างกฎหมายนั้นเป็นกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ
เป็นจำนวนมาก ตามที่ได้อุปมาแล้วว่ากระบวนการร่างกฎหมายเปรียบเสมือนการปรุงอาหาร
ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องมีบุคคลต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง
เนื่องจากพ่อครัวหรือแม่ครัวไม่สามารถดำเนินการได้เองเพียงสำพังได้ทุกอย่าง
จะต้องมีผู้จ่ายตลาด
ซึ่งเป็นผู้คัดเลือกวัตถุดิบมาส่งให้พ่อครัวหรือแม่ครัวทำอาหาร
ผู้จ่ายตลาดนั้นเทียบได้กับกระทรวง ทบวง กรม ทั้งหลายในกระบวนการร่างกฎหมาย
และจะต้องมีผู้ยกอาหารที่ปรุงเสร็จแล้วมาเสริฟ
ซึ่งผู้เสริฟอาหารนั้นเทียบได้กับสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดที่กล่าวมานั้น
เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
และจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน
กระบวนการร่างกฎหมายนั้น
ประกอบด้วยส่วนสำคัญสองส่วนคือ
การร่างกฎหมายโดยฝ่ายบริหารและกระบวนการร่างกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัติ
ในกระบวนการร่างกฎหมายโดยฝ่ายนิติบัญญัตินั้น
จะเริ่มตั้งแต่การส่งร่างกฎหมายที่ได้ร่างเสร็จแล้วให้กับ
คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือที่เรียกกันว่า วิปรัฐบาล
และเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งจะมีการพิจารณากันสามวาระ
ต่อจากนั้นก็จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาอีกสามวาระ และมีตั้งกรรมาธิการร่วม
แต่นั่นเป็นกระบวนการในชั้นนิติบัญญัติ
ซึ่งอยู่นอกเหนือขอบเขตของการสัมมนาในครั้งนี้
คงจะต้องเป็นการสัมมนาอีกเวทีหนึ่งโดยต้องเชิญเจ้าหน้าที่จากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเข้ามาร่วมด้วย
ซึ่งทราบว่าท่านประธานสภาทั้งสองก็มีดำริที่จะจัดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
กระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารหมายความรวมถึงการร่างกฎหมายที่สำเร็จเสร็จสิ้นโดยฝ่ายบริหารทั้งหมด
เช่น การออกพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง ระเบียบต่างๆ
รวมถึงกระบวนการนิติบัญญัติขั้นต้นเพื่อที่จะส่งให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาในภายหลัง
คือการออกพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาลโดยตรง
เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติที่เสร็จจากสภาแต่ละปี ประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์- ๙๕
เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยรัฐบาล ส่วนที่เหลือเป็นร่างกฎหมายที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น
กระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารจึงมีความสำคัญอย่างมาก
ตามที่กล่าวมาแล้วว่ากระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้น
เมื่อกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารมีข้อบกพร่อง จึงถึงเวลาที่จะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
ประกอบกับปัจจุบันนี้ มีการให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรม
ที่ถือเอากฎหมายเป็นใหญ่และกฎหมายนั้นต้องเป็นธรรมต้องมีประสิทธิภาพ
ทั้งกระบวนการในการออกกฎหมาย สารัตถะของกฎหมาย
ความจำเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายประการต่อไป
คือในเวลานี้มีการพูดกันมากเกี่ยวกับหลักการ Good Governance ซึ่งในพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ฯ
ฉบับปัจจุบันนี้ได้ให้ความหมายคำว่า Good Governance หมายถึง
การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ซึ่งในอดีตได้มีผู้แปลความหมายของคำว่า Good
Governance เป็นธรรมาภิบาล หรือ ประชารัฐ บ้าง
หรือสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้แปลความหมายของคำว่า Good
Governance เป็น
สุประศาสนการ แต่ถ้อยคำเหล่านี้ก็ไม่ได้รับความนิยมในการใช้แต่อย่างใด
จึงต้องแปลคำว่า Good Governance ตามความหมายของถ้อยคำในกฎหมายว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
แต่ก็มีผู้ให้ข้อสังเกตว่า คำว่า การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี นั้น
ก็ยังเป็นถ้อยคำที่ไม่สละสลวยและตรงกับความหมายของคำว่า Good
Governance นัก เนื่องจากว่าหลักการดังกล่าวนั้นมิได้ใช้เพียงแค่การบริหารกิจการบ้านเมือง
ซึ่งเป็นภารกิจของรัฐเท่านั้น
แต่ได้มีการนำหลักการดังกล่าวไปใช้ในครอบครัวหรือการบริหารกิจการในบริษัทเอกชนด้วย
ซึ่งหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีได้กำหนดให้การบริหารงานต้องกระทำโดยการลดเวลาดำเนินการ
ลดขั้นตอนการดำเนินการ กระทำการด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ประหยัด
และสามารถประเมินผลได้
ซึ่งหลักการเหล่านี้สามารถวัดผลให้เป็นรูปธรรมได้โดยวิธีการต่างๆ และในปัจจุบันนี้
ก็ได้มีการใช้หลักนี้ในการประเมินผลการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการต่างๆ
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว
ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีฯ
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกโดยอาศัยอำนาจของพระราชบัญญัติบริหารราชการแผ่นดินฯ
โดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดินฯ มาตรา ๓/๑ บัญญัติไว้กว้างๆ เพียงว่า
ในการปฏิบัติราชการเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา
ต่อมาจึงมีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเช่นว่านั้นคืออะไร
การปฏิบัติงานที่คุ้มค่านั้นเป็นอย่างไร
การดำเนินงานที่ลดขั้นตอนนั้นจะต้องดำเนินการอย่างไร การลดเวลาจะทำอย่างไร
การดำเนินการที่ประหยัดจะมีวิธีการอย่างไร
การดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพจะต้องดำเนินการอย่างไร การดำเนินการที่โปร่งใสจะทำอย่างไร
ควรมีหลักเกณฑ์ในการประเมินผลอย่างไร ตลอดจนกำหนดรางวัลสำหรับผู้ที่ดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดพร้อมทั้งกำหนดโทษสำหรับผู้ที่ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ด้วยซึ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีฯ
นั้นถือเป็นคัมภีร์หรือคู่มือที่สำคัญสำหรับการปฏิบัติราชการของทุกส่วนราชการ
ซึ่งท่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ฯ)
ได้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
ต่อไปนี้ หากส่วนราชการใดเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
ไม่ว่าเรื่องที่เสนอนั้นจะเป็นร่างกฎหมาย การขออนุมัติงบประมาณ
หรือเรื่องอื่นๆ
ก็จะมีการตั้งคณะทำงานชุดหนึ่งเรียกว่า คณะกรรมการด้าน Good
Governance
มาทำหน้าที่กลั่นกรองเรื่องที่หน่วยงานเสนอเข้ามาว่าเป็นไปตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีหรือไม่
ก่อนนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา เนื่องจากพบว่าหลังจากพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีฯ
มีผลใช้บังคับแล้ว
บางส่วนราชการก็ยังไม่มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวและยังมีการเสนอเรื่องโดยที่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา
เช่น กรณีที่เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ ได้เคยรายงานว่า
ในประเทศไทยหากจะตั้งร้านขายขนมจีนให้ถูกกฎหมายจริงๆทุกประการต้องใช้เวลาอย่างน้อย
๖ เดือน เพราะฉะนั้น
ในประเทศไทยจึงมีการประกอบการโดยหลีกเลี่ยงกฎหมายเป็นจำนวนมาก ดังนั้น หากส่วนราชการต่างๆ
ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาแล้ว และมีการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวขึ้นมาตรวจสอบอีกชั้นหนึ่ง
ก่อนจะนำเสนอเรื่องนั้นให้คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
และหากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อให้พิจารณาต่อไปได้นั้น
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็จะเป็นผู้พิจารณาถึงเหตุผลและความจำเป็น
ตลอดจนตรวจสอบว่าร่างกฎหมายฉบับนั้นสร้างภาระ เพิ่มขั้นตอนให้แก่ประชาชนหรือไม่
อย่างไร อีกครั้งหนึ่ง
และจะเสนอร่างกฎหมายนั้นพร้อมทั้งความเห็นไปยังคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
ก็จะทำให้กระบวนการเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีฯ
อันจะส่งผลให้การปฏิบัติราชการเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นอกจากหลักการเรื่อง
The
rule of law
และหลัก Good
Governance แล้ว
หลักการสำคัญที่มีผลให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารอีกประการหนึ่ง
คือ นโยบายของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลนี้ถือเป็นรัฐบาลที่มีนโยบายด้านกฎหมาย (Legal Policy) มากที่สุด
แต่รัฐบาลนี้ต้องการให้มีกฎหมายออกมาใช้บังบังคับน้อยที่สุด
เรื่องที่สามารถใช้มาตรการในทางบริหารแก้ไขปัญหาได้ก็ต้องใช้มาตรการทางด้านบริหารแทนการออกกฎหมาย
และเมื่อมีนโยบายนี้เกิดขึ้น
มีผลทำให้คณะรัฐมนตรีมีมติไม่รับหลักการของร่างกฎหมายที่เสนอโดยกระทรวงต่างๆ
มาแล้วหลายฉบับว่าไม่มีความจำเป็นต้องออกเป็นกฎหมาย ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ การเสนอร่างกฎหมายของส่วนราชการต่างๆ นั้น
ส่วนราชการจะต้องพิจารณาถึงเหตุผลและความจำเป็นในการเสนอร่างกฎหมายโดยละเอียดและรอบคอบ
พร้อมทั้งจะต้องพิจารณาว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยวิธีอื่นนอกเหนือจากการเสนอกฎหมายหรือไม่
เช่น อาจแก้ไขปัญหาโดยการใช้มาตรการทางบริหารแทนการออกกฎหมาย
การแก้ไขปัญหาโดยการออกกฎหมายจะทำเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
เพราะการมีกฎหมายเฟ้อนั้น จะนำไปสู่การหย่อนยานในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายได้ เช่น
นายกรัฐมนตรีได้เคยเล่าประสบการณ์ให้คณะรัฐมนตรีฟังว่า
ในครั้งที่นายกรัฐมนตรียังดำเนินธุรกิจอยู่นั้น ได้มีการชักชวนเพื่อนๆ
ที่อยู่ในวงการนักกฎหมายเข้ามาช่วยงานในบริษัท
ซึ่งในชั้นแรกนั้นได้มีการวางระเบียบ กฎเกณฑ์ ในการตรวจรับสินค้า
การจัดส่งสินค้าเสียใหม่ มีการออกระเบียบเกี่ยวกับการใช้ยานพาหนะเพื่อใช้จัดส่งของ
ซึ่งก็เป็นหลักการที่ดีทำให้ระบบการตรวจรับสินค้า การขนส่งสินค้า
นั้นมีหลักฐานการส่งมอบที่ชัดเจน แต่มีผลกระทบในทางปฏิบัติทำให้เพิ่มขั้นตอน
เพิ่มระยะเวลา ในการทำงาน ทำให้ไม่คล่องตัว จนกระทั่งมีผลกระทบต่อยอดขายสินค้า
ผู้บริหารในขณะนั้น จึงมีแนวความคิดว่า ให้คงระเบียบเดิมไว้ตามเดิม
แต่หากส่วนงานไหนสามารถพิสูจน์ได้ว่าการไม่ทำตามระเบียบแล้วมีกำไรขึ้นโดยไม่เกิดความเสียหาย
ส่วนงานนั้นก็จะได้เงินรางวัลประจำปีเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษ
แต่หากส่วนงานใดพิสูจน์ได้ว่า การดำเนินการตามระเบียบนั้นทำให้ได้ผลดีกว่า
เงินรางวัลประจำปีตกเป็นของผู้ออกระเบียบ
ก็ปรากฏผลว่ามีหลายส่วนงานที่ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ
โดยไม่ถึงขนาดปฏิบัติงานโดยผิดนโยบายของบริษัท สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น
แต่หลักการดังกล่าวนั้นอาจไม่สามารถนำมาใช้กับการบริหารราชการในภาครัฐได้
เนื่องจากรัฐนั้นต้องใช้หลักนิติรัฐ
แต่อุปมาดังกล่าวนั้นชี้ให้เห็นว่าหากมีระเบียบ กฎเกณฑ์ เฟ้อมากเกินความจำเป็นก็จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานได้
เมื่อหน่วยงานพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว
เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องมีกฎหมายขึ้นใช้บังคับแล้ว
ในกฎหมายบางฉบับนั้นควรจะต้องกำหนดอายุของกฎหมายไว้ด้วย
เนื่องจากการออกกฎหมายที่ไม่กำหนดอายุของกฎหมายเอาไว้ อาจเป็นผลทำให้ไม่มีความคิดที่จะพัฒนากฎหมาย
เหตุที่นายกรัฐมนตรีมีแนวคิดที่จะให้มีการกำหนดอายุของกฎหมายไว้
เนื่องจากหากกฎหมายฉบับนั้นใกล้จะหมดอายุ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะต้องพิจารณาถึงผลที่เกิดจากการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา
และนำข้อบกพร่องมาเสนอเพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับนั้นๆ ต่อไป
ทำให้เกิดความตื่นตัวในการปรับปรุงกฎหมายและกฎหมายก็จะเป็นกฎหมายที่ไม่ล้าหลัง
สามารถบังคับใช้ได้โดยสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ ในปัจจุบันได้
อีกนโยบายหนึ่ง
คือสารัตถะ หรือถ้อยคำสำนวนในตัวบทกฎหมายนั้นจะต้องเป็นภาษาที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่าย
ไม่ต้องให้เกิดการตีความขึ้นในภายหลัง เช่น
กฎหมายที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็นกรรมการในคณะกรรมการ
หรือบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งใดๆ
ซึ่งมักจะมีการถกเถียงกันเสมอว่าบุคคลที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวควรมีลักษณะอย่างไร
หรือมีคุณสมบัติต้องห้ามอย่างใด รูปแบบการเขียนนั้นที่ผ่านมาจะมีการใช้ถ้อยคำว่า
บุคคลที่จะดำรงตำแหน่งจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (๑)
มีอายุไม่น้อยกว่า... ปี (๒) เคยเป็นบุคคลล้มละลาย
ซึ่งก็จะมีผู้สงสัยว่าการกำหนดลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นการกำหนดคุณสมบัติคือสิ่งที่ต้องมีหรือเป็นการกำหนดลักษณะต้องห้ามคือการกำหนดสิ่งที่ไม่ต้องการให้มีซึ่งก็มีผู้เสนอให้นำคุณสมบัติที่ต้องมี
กับคุณสมบัติต้องห้ามแยกออกมาบัญญัติเป็นคนละมาตราเพื่อความชัดเจน
ก็จะมีคำตอบว่าจะแยกบทบัญญัติออกเป็นสองมาตราไม่ได้ เนื่องจากเป็นแบบการร่างกฎหมายที่ได้เคยถือปฏิบัติมาโดยตลอด
ซึ่งการร่างกฎหมายนั้น นักกฎหมายรุ่นเก่า เช่น
ในสมัยท่านอดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา (ท่านอมรฯ) นั้น
ท่านเข้าใจภาษาไทยและภาษากฎหมายในระดับดีมาก
และท่านทราบดีว่าหากต้องการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายทั่วไปก็ต้องใช้ถ้อยคำตามพจนานุกรม
หากต้องการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายพิเศษแตกต่างจากความหมายที่ได้เคยมีการให้ความหมายไว้ในพจนานุกรม
ก็จะต้องมีการกำหนดคำนิยามขึ้นใหม่
และในการร่างกฎหมายนั้น การเว้นวรรค การใช้คำสันธาน คำบุพบท คำเชื่อม
นั้นก็มีความสำคัญมาก หากมีการใช้คำสันธาน คำบุพบท คำเชื่อม หรือมีการเว้นวรรคผิด
ก็อาจทำให้มีความหมายผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ...ประกอบด้วยกุ้ง หอย
ปู ปลา ซึ่งมีอายุไม่น้อยกว่า ๕ ปี ก็จะเกิดคำถามว่า คำว่า ซึ่งมีอายุไม่น้อยกว่า ๕ ปี นั้นขยายเฉพาะคำว่า ปลา
หรือจะขยายความรวมไปถึง กุ้ง
หอย ปู ด้วย
หรือกรณีการเว้นวรรคก็มีความสำคัญเช่นกัน เช่นกรณีตามตัวอย่างที่ยกมานั้น
หากเขียนข้อความโดยไม่มีการเว้นวรรคหลังคำว่าปลา เป็น ประกอบด้วยกุ้ง หอย ปู
ปลาซึ่งมีอายุไม่น้อยกว่า ๕ ปี
หมายความว่า เฉพาะปลาเท่านั้นที่ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า ๕ ปี แต่หากเขียนในลักษณะเว้นวรรคหลังคำว่าปลา
เป็น ประกอบด้วยกุ้ง หอย ปู
ปลา ซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า ๕ ปี
หมายความว่า ทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา นั้น จะต้องมีอายุไม่น้อยกว่า ๕ ปี
อีกตัวอย่างหนึ่ง
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนฯได้กำหนดว่า ข้าราชการพลเรือนจะดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทไม่ได้
ซึ่งในชั้นการพิจารณาร่างกฎหมายของสภาฯ
ก็ได้มีการอภิปรายกันอย่างมากว่าข้าราชการพลเรือนเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทไม่ได้
เนื่องจากกรรมการผู้จัดการของบริษัทจะต้องทำงานเต็มเวลา
จึงมีคำถามว่าข้าราชการพลเรือนจะสามารถดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทที่ไม่ใช่กรรมการผู้จัดการได้หรือไม่คำตอบก็คือข้าราชการพลเรือนสามารถดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้
และเมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้
ผ่านการพิจารณาของสภาและประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ได้มีการพิมพ์โดยแยกคำระหว่างคำว่า
กรรมการ และคำว่า ผู้จัดการ ออกจากกันโดยอยู่คนละบรรทัด
จึงเกิดประเด็นสงสัยขึ้นมาว่าในกฎหมายฉบับนี้
ข้าราชการพลเรือนไม่สามารถดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทได้
และไม่สามารถดำรงตำแหน่งผู้จัดการบริษัทได้ด้วย ใช่หรือไม่
อันนี้เป็นตัวอย่างว่าการเว้นวรรคตอนผิดหรือการพิมพ์คำแยกบรรทัดอาจมีผลทำให้เข้าใจความหมายของกฎหมายผิดพลาดคลาดเคลื่อนได้ความละเอียดเหล่านี้
หากขาดไปจะก่อให้เกิดปัญหาได้ทั้งนั้น
ซึ่งระยะหลังนี้สังเกตให้ดีว่ามีกฎหมายที่ออกจากสภาจะมีข้อผิดพลาดซึ่งเป็นความผิดพลาดโดยการแก้ไขกฎหมายกลางสภา
เช่น มีความผิดพลาดกรณีที่มีการแก้ไขบทบัญญัติกฎหมายที่มีเนื้อหาเกี่ยวโยงกัน
แต่ไม่ได้มีการแก้ไขบทบัญญัติที่เกี่ยวโยงกันให้สอดคล้องกัน เช่น
กรณีของกฎหมายครูเป็นต้น
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าการจัดทำกฎหมายในฝ่ายบริหารมิได้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น
แต่หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกหน่วยงานจะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อให้ได้ความเห็นเป็นที่ยุติโดยชัดเจน
และพิจารณาหลักการและบทบัญญัติของกฎหมายให้เข้ากับหลัก Good
Governance และหากจำเป็นจะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก็ให้ดำเนินการเสียตั้งแต่ชั้นการยกร่างของหน่วยงาน
กระทรวง ทบวง กรม
ต้องพยายามยกร่างกฎหมายให้มีความถูกต้องสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่าฝากความหวังไว้ให้กฤษฎีกาเป็นผู้พิจารณาแก้ไขเพียงหน่วยงานเดียว
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ทำให้ต้องมีเกิดแนวคิดที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารคือ
ความล่าช้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีการกล่าวหาว่าชักช้า
เนื่องจากการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
แต่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีเหตุผลที่สามารถรับฟังได้ว่า
เนื่องจากบางกรณีคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับเฉพาะหลักการของกฎหมายและมอบให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกายกร่างขึ้นโดยที่ทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ยังไม่ทราบความต้องการที่ชัดเจนของรัฐบาล
เมื่อยกร่างกฎหมายเสนอมาก็อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับความต้องการ
อาจจะต้องนำกลับไปแก้ไขทบทวนกันอีกครั้งหนึ่ง
แต่ในระยะหลังได้มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้โดยรัฐมนตรีกระทรวงเจ้าของเรื่องก็จะขอให้
คณะรัฐมนตรีระบุว่าคณะรัฐมนตรีรับหลักการของกฎหมายฉบับนั้นในเรื่องใดบ้าง
เพื่อเป็นแนวทางให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทราบว่าร่างกฎหมายนั้นมีสาระสำคัญอย่างไรบ้าง
เพื่อให้ตรงกับความต้องการที่แท้จริง ในประเด็นที่สองที่ก่อให้เกิดความล่าช้าคือ
ร่างกฎหมายที่เสนอโดยกระทรวง ทบวง กรมนั้น ยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอ
ทำให้การตรวจพิจารณาในชั้นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องใช้เวลานาน
อีกประการหนึ่ง
เป็นความล่าช้าที่เกิดจากกระบวนการในการปฏิบัติงานภายในของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเอง
ซึ่งต้องมีคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ให้ความเห็นในการตรวจพิจารณาร่างกฎหมาย
และให้ความเห็นทางกฎหมาย และแบ่งแยกหรือพิจารณาตามความเชี่ยวชาญของแต่ละคณะ
ซึ่งทำงานในรูปคณะกรรมการอาจจะเกิดความล่าช้าในการพิจารณาขึ้นได้
ในเรื่องความรวดเร็วของการร่างกฎหมายนั้น
ขอยกตัวอย่างกระบวนการร่างกฎหมายของประเทศออสเตรเลียที่ผมได้เคยนำเจ้าหน้าที่จากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปศึกษาดูงานเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรีของประเทศออสเตรเลีย
ในการประชุมของคณะรัฐมนตรีของ Australia นั้นจะไม่มีการนำร่างพระราชบัญญัติทั้งฉบับเข้าไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
แต่จะเสนอเฉพาะหลักการของร่างกฎหมายฉบับนั้นเข้าไปเพื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเท่านั้น
เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการจะสั่งคณะกรรมการกฤษฎีกาของประเทศออสเตรเลียยกร่างให้หรือให้นิติกรของหน่วยงานมาร่วมยกร่างและจะไม่กลับมายังคณะรัฐมนตรี
พิจารณาอีกครั้งซึ่งเป็นระบบที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ปัญหาที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด
อาจทำให้รัฐบาลคิดว่าต่อไปนี้การเสนอร่างกฎหมายต้องทำ Check
lists หรือการตรวจสอบความจำเป็นในการร่างกฎหมาย
ซึ่งในต่างประเทศมีมานานแล้ว
ซึ่งมีรายการที่จะต้องตรวจสอบเหตุผลความจำเป็นในการเสนอกฎหมาย ๑๐ ข้อ เช่น
ความจำเป็นในการออกกฎหมาย ผู้รับผิดชอบในการเสนอกฎหมาย
และผู้ใช้บังคับกฎหมาย
เนื่องจากในปัจจุบันต้องตรวจสอบว่ารัฐสมควรที่จะต้องรับผิดดูแลในเรื่องนั้นหรือควรให้เป็นหน้าที่ของเอกชนหรือควรให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลส่วนกลาง
หรือควรมอบอำนาจให้แก่ทิ้งถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ
ต้องตรวจสอบว่าร่างกฎหมายฉบับนั้นมีความซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีผลใช้บังคับอยู่แล้วหรือไม่
ควรมีการออกกฎหมายระดับอนุบัญญัติหรือไม่ ควรกำหนดอายุของกฎหมายไว้ด้วยหรือไม่
และมีอายุกี่ปี ซึ่งในขณะนี้ก็มีแนวความคิดว่าหากหน่วยงานต้องการเสนอกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาจะต้องมี
Check
lists มาด้วยทุกครั้ง
นอกจากนั้น การร่างกฎหมายจะต้องพิจารณาถึงภาระของประชาชนด้วย
ไม่ควรสร้างภาระให้กับประชาชนเกินความจำเป็น เช่น
การยื่นคำขออนุญาตหรือการยื่นคำร้องต่อหน่วยงานราชการนั้นไม่ควรเรียกเอกสารประกอบเกินความจำเป็น
เนื่องจากเป็นการสร้างภาระให้แก่ประชาชนและยังเป็นการเพิ่มภาระให้กับหน่วยงานราชการเองที่จะต้องจัดหาสถานที่สำหรับเก็บเอกสารนั้น
ๆ ด้วย
อีกประการหนึ่งเจ้าหน้าที่ในกระทรวง
ทบวง กรม ต่าง ๆ ควรมีความรู้ในทางการร่างกฎหมาย
และควรมีความรู้เกี่ยวกับหลักการของทางด้านกฎหมายมหาชนมากขึ้น โดยต้องมีการฝึก
อบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายมหาชน เป็นการพัฒนาศักยภาพของนิติกรในหน่วยงานต่าง ๆ
ซึ่งในขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้มีการจัดหลักสูตรฝึกอบรมหลักกฎหมายมหาชนให้กับนิติกรของส่วนราชการต่าง
ๆ ซึ่งขอให้มีการพัฒนาหลักสูตรให้จริงจัง และให้เกิดประสิทธิภาพเป็นรูปธรรม เช่น
อาจจะให้นิติกรจากหน่วยงานต่าง ๆ เข้ามาฝึกฝนเกี่ยวกับการร่างกฎหมายกับสำนักงานฯ
และกำหนดเป็นเงื่อนไขในการประเมินผลงานเพื่อใช้ในการเลื่อนตำแหน่ง เป็นต้น
ประการต่อไป
ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ คือเรื่องแผนนิติบัญญัติในพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีฯ
กำหนดในมาตรา ๑๓ ว่า เมื่อรัฐบาลตั้งใหม่แล้วจะต้องไปถวายสัตย์ ปฏิญาณ
พอถวายสัตย์เสร็จต้องเข้ารับหน้าที่ เข้ารับหน้าที่เสร็จจะต้องแถลงนโยบายภายใน ๑๕
วัน พอแถลงนโยบายเสร็จต้องทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินภายใน ๙๐ วัน
เป็นการกำหนดให้แถลงว่านโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อสภาฯ นั้นจะมีการดำเนินการอย่างไร
ใครเป็นผู้รับผิดชอบ เมื่อทำแผนการบริหารราชการแผ่นดินเสร็จ มาตรา ๑๕
กำหนดว่าเมื่อจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินเสร็จให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำแผนนิติบัญญัติแห่งชาติเสนอรัฐมนตรีโดยมีกำหนดระยะเวลาไว้
การจัดทำแผนนิติบัญญัติ
นั้นมีขั้นตอนคือเมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อสภาและได้มีการจัดทำแผนบริหารราชการแผ่นดินแล้ว
จะต้องมีการเสนอว่าภายใต้นโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดินนั้นจะต้องมีกฎหมายฉบับใดบ้างที่จะเป็นส่วนเสริม
ในการที่จะทำให้นโยบายและแผนการงานนั้นสำเร็จลุล่วงตามนโยบายและแผนงานที่ตั้งไว้
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะนำหลักการดังกล่าวประสานกับหน่วยงานผู้รับผิดชอบเพื่อดำเนินการยกร่างกฎหมายเสนอ
การดำเนินการเช่นนี้จะทำให้ทราบถึงลำดับของร่างกฎหมายที่จะเข้าสภาและลำดับการพิจารณาร่างกฎหมายของสภา
เพื่อให้ทันกับวาระการประชุมของสภา
และการมีแผนนิติบัญญัติจะทำให้สามารถบริหารจัดการเวลาของกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายได้ทั้งหมด
และลดความซ้ำซ้อนของการเสนอกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกทางหนึ่ง
แต่เนื่องจากแผนนิติบัญญัตินั้นไม่เคยมีมาก่อน
ในระยะแรกจึงจะทำเป็นแผนนิติบัญญัติรายสมัยประชุม โดยจะมีการวางแผนว่า
ในสมัยประชุม ๑๒๐ วัน จะมีร่างกฎหมายฉบับใดจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาบ้าง
และหากในสมัยประชุมนั้นหากร่างกฎหมายที่กำหนดไว้
ไม่สามารถเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้
ก็จะเอาผิดกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวง และจะให้มีการไล่เบี้ยความรับผิดชอบกับหน่วยงานต่อไป
และเมื่อมีการวางแผนนิติบัญญัติรายสมัยประชุมแล้วต่อไป
ก็จะพัฒนาให้มีกรจัดทำแผนนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นแผนในระยะยาวต่อไป
บัดนี้
ได้เวลาอันสมควรแล้วในฐานะประธาน ขอเปิดการสัมมนาเรื่องการปรับเปลี่ยนบทบาทกระบวนการในการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
ขอบพระคุณทุกท่านที่ได้สละเวลาในวันหยุดมาร่วมประชุมปรึกษาหารือกันและหวังว่าท่านจะนำประโยชน์ที่ได้จากการสัมมนาในครั้งนี้กลับไปถ่ายทอดต่อและคงจะมีการประสานร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่าง
ๆ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อเกิดประโยชน์ในประโยชน์อย่างสูงสุดต่อไป