การบรรยายพิเศษ
เรื่อง กระบวนการร่างกฎหมายของไทย โดย ศาสตราจารย์ ดร. อมร จันทรสมบูรณ์
ประธานกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๔
ในการสัมมนา เรื่อง การปรับเปลี่ยนกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
วันที่ ๑๗-๑๙
กันยายน ๒๕๔๗ ณ โรงแรมรีเจนท์ ชะอำ
จังหวัดเพชรบุรี
ขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการการกฤษฎีกา
ที่ให้โอกาสมาบรรยาย เรื่องกระบวนการร่างกฎหมายของไทยในการสัมมนาในครั้งนี้
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมาท่านรองนายกฯ วิษณุฯ
ได้ให้ความเห็นในฐานะที่เป็นฝ่ายการเมืองทำให้ผู้เข้าร่วมได้รับทราบนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งตามที่ท่านรองนายกฯ ได้กล่าวมาแล้วก็มีความสำคัญอยู่หลายเรื่องและทำให้ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับประสบการณ์จากท่านหลายด้าน
ก่อนที่จะบรรยายเรื่องการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารนั้นอยากเรียนให้ผู้เข้าร่วมสัมมนานึกถึงเนื้อหาที่ท่านรองวิษณุฯ
กล่าวมาแล้วว่ารัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีนโยบายทางนิติบัญญัติค่อนข้างมาก
และท่านรองนายกฯ ได้กล่าวถึงนโยบายที่สำคัญ ๆ ๒-๓ ประการ ประการแรกคือ
รัฐบาลนี้มีนโยบายที่จะไม่ให้กฎหมายเฟ้อ หากใช้มติคณะรัฐมนตรี
หารือระเบียบที่เคยปฏิบัติแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ก็ให้ใช้ไปก่อน
ประการที่สองคือแนวคิดว่าควรจะกำหนดอายุขัยของกฎหมายคือกำหนดกฎหมายมีระยะเวลาสิ้นสุด
ประการที่สามคือ การใช้ถ้อยคำ สำนวน วรรคตอน
ในการร่างกฎหมายนั้นจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง ซึ่งขอให้ความเห็นในประเด็นต่างๆ
ดังนี้
ประการแรกการใช้มติคณะรัฐมนตรีหรือระเบียบที่เคยปฏิบัติแก้ปัญหา
นั้น เห็นว่า การที่ใช้มติคณะรัฐมนตรีหรือระเบียบปฏิบัติแก้ไขปัญหาโดยไม่มีกฎหมายนั้น
เป็นช่องว่างของการ Abuse of power (การใช้อำนาจโดยมิชอบ) ได้
เห็นว่าปัญหาของเรานั้นไม่ใช่การที่กฎหมายเฟ้อ
ปัญหาของเราอยู่ที่มีกฎหมายไม่ดีและเฟ้อ กฎหมายที่ดีนั้นจะไม่มีการเฟ้อ
เพราะจะเป็นกฎหมายที่มีความยืดหยุ่น (flexibility) และขณะเดียวกันก็ใช้ตรวจสอบอำนาจของฝ่ายบริหารไปด้วยในตัว
ดังนั้น อย่าเพิ่งสรุปว่ามีปัญหาเนื่องจากกฎหมายเฟ้อเพียงอย่างเดียว
อย่าเปิดโอกาสให้มีการใช้มติคณะรัฐมนตรีหรือระเบียบต่าง ๆ
ที่ขึ้นอยู่กับอำเภอใจของฝ่ายการเมืองโดยไม่มีกฎเกณฑ์
ประการที่สองการกำหนดให้กฎหมายที่มีอายุขัยนั้น
มีข้อควรสังเกตว่าการกำหนดระยะเวลาให้กฎหมายสิ้นสุด เมื่อถึงระยะเวลาสิ้นสุดแล้ว
กฎหมายจะหมดสภาพบังคับไปในทันทีไม่ได้
เนื่องจากจะเกิดช่องว่างของการใช้อำนาจบริหาร เพราะฉะนั้นเห็นว่าไม่ควรกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดกฎหมายไว้ตายตัว
แต่การกำหนดระยะเวลาเพื่อให้มีการทบทวนว่ากฎหมายนั้นควรให้มีผล
ใช้บังคับอยู่หรือไม่สามารถกระทำได้
ส่วนประการที่สามปัญหาเรื่องการใช้สำนวนถ้อยคำทั้งหลายนั้น
ปัญหานี้ต้องยอมรับว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจริง
และนักกฎหมายนั้นมักจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ใช้ถ้อยคำสำนวนแบบศรีธนชัย
อันนี้เป็นข้อบกพร่องของนักกฎหมายที่ขาดแนวความคิดเกี่ยวกับปรัชญาของกฎหมายมหาชนที่ว่ากฎหมายย่อมมี
Objective หากตีความโดยไม่มีการคำนึงถึง Objective แล้วก็จะเกิดผลเสีย พฤติการณ์เช่นนี้ส่งผลให้วิธีคิดของนักกฎหมายไทยไม่สามารถพัฒนาไปถึงระดับการคิดของนักกฎหมายในประเทศที่พัฒนาแล้วได้
ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับมาตรา
๑๕ ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการฯ (Good
Governance) เห็นว่าหลักการมาตรา ๑๕ ของพระราชกฤษฎีกา
ดังกล่าวนั้นไม่ได้ปรากฏอยู่ในบันทึกประกอบร่างกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยบันทึกสำนักงานฯ มีปรากฏเฉพาะหลักการของมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๖ ของพระราชกฤษฎีกาฯ เท่านั้น
แต่ความจริงแล้วจะต้องมีการถอดเนื้อความของพระราชกฤษฎีกา ในส่วนที่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานต่าง
ๆ ออกมาให้ชัดเจน ว่าหน่วยงานจะต้องมีหน้าที่อย่างไรบ้าง เนื่องจากหน่วยงานต่าง ๆ
จะต้องมีแผนการปฏิบัติงานทั้งสิ้น ซึ่งเห็นว่าเนื้อหาและวิธีการวิธีการเขียนของพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ยังมีอีกหลายจุดที่อาจทำให้เข้าใจสับสนได้
เช่นการจัดแบ่งหมวดหมู่ ซึ่งได้แยกตามมาตรา ๖ คือ แยกตามวัตถุประสงค์ เช่น
เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน เกิดสัมฤทธิ์ผลต่อภารกิจของรัฐ เกิดประสิทธิภาพ
เป็นต้น เป็นผลให้หน่วยงานที่ถูกกล่าวถึงไว้ในพระราชกฤษฎีกาจำเป็นจะต้องพิจารณาบทบัญญัติของกฎหมายมาตราว่าตนมีอำนาจหน้าที่อะไรและวางแผนการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดผลพระราชกฤษฎีกา
นี้
นอกจากนั้น เนื้อหาสาระของพระราชกฤษฎีกานี้
ได้ปรากฏหลักการของพระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ อยู่ในหลายมาตรา
เช่น มาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ โดยเฉพาะมาตรา ๔๔ ที่กำหนดไว้ว่าส่วนราชการต้องเปิดเผยสัญญาที่เป็นระเบียบปฏิบัติราชการซึ่งคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองจะต้องเอาสิ่งนี้ลงไปพิจารณาประกอบด้วย
เกี่ยวกับเรื่องกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารนั้น
ขอแยกออกเป็น ๒ หัวข้อใหญ่คือ
กระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ และกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
ดังนั้นการปรับปรุงกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารนั้นจำเป็นจะต้องแยกกระบวนการทางการเมืองออกจากกระบวนการของฝ่ายบริหารก่อน
เนื่องจากมีปัญหาในทางปฏิบัติที่แตกต่างกัน
และเมื่อแยกทั้งสองกระบวนการออกจากกันแล้ว
ก็จำเป็นจะต้องตรวจสอบว่ามีส่วนใดที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างกระบวนการร่างกฎหมายที่อยู่ในสภาและกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
โดยจะขอยกตัวอย่างว่า
ในบางกรณีกฎหมายออกไปจากกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารเป็นกฎหมายที่ถือว่าดี
แต่เมื่อเข้าไปในชั้นการพิจารณาของสภา
ไม่ว่าเป็นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้ง
๕๐๐ คนมาแก้กฎหมายนั้น อาจจะทำให้กฎหมายที่ดี
มีหลักการและเนื้อหาสาระที่แปรเปลี่ยนไป
เนื่องจากทุกคนต้องนึกถึงสิ่งที่เกี่ยวพันกับตัวเอง ฉะนั้น
กฎหมายที่ดีก็อาจจะกลายเป็นกฎหมายที่ไม่ดีก็ได้
กรณีที่ได้ยกตัวอย่างมานี้
เป็นปัญหาที่เกิดจากกระบวนการขั้นตอนในการแก้กฎหมาย
ในสภาฯ ซึ่งปัญหานี้สามารถแก้ไขได้หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
หรือสมาชิกวุฒิสภารู้บทบาทหน้าที่ของตนเองว่าจะต้องรับผิดชอบพิจารณาเฉพาะหลักการของกฎหมายเท่านั้น
ไม่สามารถแก้ไขในส่วนที่เป็นรายละเอียด หรือในส่วนของเทคนิคของการร่างกฎหมาย
ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ
ซึ่งบทบาทหน้าที่เหล่านี้นักการเมืองในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีความสำนึกในเรื่องนี้มาก
แต่ในประเทศไทยนั้น มีคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งพยายามที่จะพิจารณา
ลงไปในรายละเอียดและเทคนิคในการร่างกฎหมายจึงอาจทำให้หลักการของกฎหมายมีความไขว้เขวไปได้ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ
การทำงานระหว่างสภาผู้แทนและวุฒิสภาก็ยังไม่ประสานกัน อย่างเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏฯ
ในชั้นวุฒิสภาวุฒิสภาได้ตรวจพบความบกพร่องของร่างกฎหมายดังกล่าวและสมาชิกวุฒิสภาได้ทำหนังสือเตือนสภาผู้แทนราษฎรแล้วว่า
ร่างกฎหมายฉบับนี้มีข้อบกพร่อง
เนื่องจากไม่ได้มีการแก้ไขบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกันแต่เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรนั้นมีข้อสัญญาทางการเมืองไว้ว่าจะต้องผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ให้ทันในสมัยประชุม
จึงต้องผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้ออกไปโดยเร่งด่วนจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความรับผิดชอบของสมาชิกสภาของไทยนั้นยังเทียบไม่ได้กับในต่างประเทศ
ดังนั้น
การแก้ไขปัญหานี้จะกระทำได้โดยการสร้างความสำนึกนี้ให้กับสมาชิสภาทั้งสองสภา
และจะต้องสร้างกระบวนการ
ร่างกฎหมายที่ดีขึ้น ซึ่งในบางประเทศได้มีการบัญญัติถึงกระบวนการร่างกฎหมายไว้โดยชัดเจนในรัฐธรรมนูญว่า
การเสนอร่างกฎหมายนั้นจะต้องมีบันทึกประกอบร่าง (Exposé) แนบไปพร้อม
ร่างกฎหมายด้วย
เพื่อให้ทราบว่าร่างกฎหมายนั้นมีโครงสร้างกฎหมายและมีสาระสำคัญอย่างไร เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจนให้กับสมาชิกของทั้งสองสภา
ซึ่งเห็นว่าการปรับปรุงกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารนั้นจะต้องมีการปรับปรุงกระบวนการร่างกฎหมายของ
ฝ่ายนิติบัญญัติไปพร้อมกันด้วย เพื่อจะได้เป็นการแก้ปัญหาแบบบูรณาการ
กระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหาร
นอกจากจะต้องมีการจัดทำเอกสารชี้แจงประกอบร่างกฎหมายเพื่อที่จะปิดจุดอ่อนในชั้นการพิจารณาร่างกฎหมายของสภาแล้ว
ยังมีประเด็นปัญหาอื่นๆ ที่มีผลทำให้กระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารเกิดปัญหา
ซึ่งสามารถจำแนกประเด็นปัญหาที่สำคัญได้เป็น ๓
ข้อ คือ ปัญหาที่ ๑
ปัญหาเกี่ยวกับองค์กรที่เป็นแกนในการร่างกฎหมายปัญหาที่
๒ ขั้นตอนในการร่างกฎหมาย (Work Flow) และปัญหาที่ ๓ ปัญหาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล
ซึ่งแยกพิจารณาในแต่ละประเด็นได้ดังนี้
ปัญหาที่ ๑ ปัญหาเกี่ยวกับองค์กรที่เป็นแกนในการร่างกฎหมาย
ในขณะนี้องค์กรที่เป็นแกนในการร่างกฎหมายของประเทศได้แก่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
แต่เมื่อประมาณ ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา
ได้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติว่าด้วยการพัฒนากฎหมาย
ซึ่งเป็นการตั้งคณะกรรมการที่มีอำนาจหน้าที่ในการร่างกฎหมายเพิ่มขึ้นมาอีกองค์กรหนึ่งในกระบวนการร่างกฎหมาย
ดังนั้น
เห็นว่าตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะต้องทบทวนบทบาทและการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานฯ
ว่ามีความบกพร่อง ผิดพลาดประการใด หรือไม่ เนื่องจากคณะกรรมการฯ
ที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายเกี่ยวกับกฎหมาย
รวมถึงการดำเนินการร่างกฎหมายด้วย ซึ่งภารกิจดังกล่าวนั้นเป็นภารกิจเดียวกันกับภารกิจหลักของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ซึ่งหากมองด้วยสายตาของบุคคลภายนอกที่มองนโยบายของรัฐบาลแล้วนั้น เห็นว่า
รัฐบาลจะต้องกำหนดนโยบายเกี่ยวกับการร่างกฎหมายให้ชัดเจนว่ารัฐบาลต้องการให้องค์กรในการร่างกฎหมายควรจะเป็นอย่างไร
เป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานใด เพราะหากตั้งองค์กรร่างกฎหมายซ้อนกัน
โดยแต่งตั้งจากบุคคลกลุ่มเดียวกัน
หรือแต่งตั้งบุคคลที่มีความสามารถในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่ามาทำหน้าที่เดียวกัน
จะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นในอนาคตได้
คณะกรรมการฯ
ดังกล่าวได้แบ่งออกเป็นคณะอนุกรรมการฯ รวมทั้งสิ้น ๘ คณะ ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับเอกสารสิทธิการที่ดิน
(๒) คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการขยายโอกาสในการเข้าถึงกระบวนการของรัฐและการบังคับใช้กฎหมาย
(law enforcement) (๓) คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการลดหรือเลือกกฎหมายที่สร้างภาระหรือไม่จำเป็นของประชาชน
(๔) คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการปรับปรุงกระบวนการพิจารณาการออกกฎหมายและพัฒนาบุคลากรทางกฎหมาย
ซึ่งมีท่านรองนายกฯ วิษณุเป็นประธาน (๕) คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อความสะดวกในการค้นคว้ากฎหมายของประชาชน (๖) คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการ
รับฟังความคิดเห็นและการประชาสัมพันธ์ (๗) คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการปรับปรุงกฎหมายตามยุทธศาสตร์แก้ไขความยากจน
(๘) คณะอนุกรรมการเพื่อการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันเพื่อการพัฒนาประเทศ
อำนาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการฯ
คณะต่างๆ นั้น เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาของคณะอนุกรรมการแต่ละคณะแล้วนั้น
เห็นว่าคณะอนุกรรมการชุดแรก คือคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์ในที่ดินนั้นมีความชัดเจนแก้ไขปัญหาได้จริง
แต่คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมนั้นมีขอบเขตที่ค่อนข้างกว้างอาจจะทำให้มีปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ได้
คณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการลดหรือเลิกกฎหมายที่สร้างภาระนั้นเป็นคณะอนุกรรมการฯ ที่มีขอบเขตการทำงานมีเป้าหมายที่ชัดเจน
คณะอนุกรรมการฯ เกี่ยวกับการปรับปรุงกระบวนการพิจารณาการออกกฎหมายและพัฒนาบุคลากรทางกฎหมายนั้นก็อยู่ในขอบเขตของการสัมมนาในครั้งนี้
ส่วนคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อความสะดวกในการค้นคว้านั้น ได้เคยมีการกำหนดอำนาจหน้าที่ไว้ในพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกาฯ
โดยจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนากฎหมายให้มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าวด้วย และเห็นว่าการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อการค้นคว้า
(Codification) นั้นเป็นงานที่ต้องทำโดยต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำโดยมติคณะรัฐมนตรี
ซึ่งควรเป็นหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ส่วนคณะอนุกรรมการเกี่ยวกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น
เห็นว่ายังมีขอบเขตและวัตถุประสงค์ของการดำเนินการ
ไม่แน่ชัด
นอกจากนั้น
ยังมีข้อสังเกตที่สำคัญเกี่ยวกับการจัดตั้งคณะกรรมการฯ ดังกล่าว คือ
คณะอนุกรรมการทั้ง ๘ คณะนั้น ได้มีการตั้ง Rapporteur ประจำแต่ละคณะ
ซึ่งผู้ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวได้นั้น จะต้องมีความเชี่ยวชาญในระดับที่สูงมาก
เนื่องจากจำต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการอธิบายกฎหมายทุกฉบับที่อยู่ในความรับผิดชอบว่า
กฎหมายฉบับนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร จะดำเนินการแก้ไขด้วยวิธีการอย่างไร และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดในการแต่งตั้ง Rapporteur คือ ในขณะนี้เรามีบุคคลากรที่มีความสามารถในระดับนั้นหรือไม่
และมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
ประเด็นปัญหาที่ ๒ ขั้นตอนในการร่างกฎหมาย (Work Flow)
กระบวนการร่างกฎหมายที่ดีต้องประกอบด้วยบุคลากรที่มีคุณภาพจึงจะเกิดประสิทธิภาพ
ซึ่งจากการที่ท่านรองนายกรัฐมนตรี (คุณวิษณุฯ)
ได้เรียนให้ผู้เข้าร่วมการสัมมนาทราบแล้วว่า ในประเทศ Australia
จะมีการเสนอเฉพาะหลักการของร่างกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเท่านั้น
และท่านเห็นว่าเป็นกระบวนการที่สะดวกและมีความรวดเร็ว
แต่การที่จะดำเนินการโดยวิธีการดังกล่าวได้โดยมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลนั้น
คณะรัฐมนตรีจะต้องทราบถึงบทบาทหน้าที่ของตนเองว่ามีหน้าที่พิจารณาเฉพาะหลักการของกฎหมายเท่านั้น
ส่วนรายละเอียด กลไกต่างๆ ต้องให้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ประกอบกับการดำเนินการในกระบวนการร่างกฎหมายจะต้องมี
Work Flow และ Job description
ด้วย หมายความว่ากระบวนการร่างกฎหมายของ
ฝ่ายบริหารเริ่มตั้งแต่ชั้น กระทรวง ทบวง กรม
ซึ่งเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องผู้เสนอร่างกฎหมายจะต้องทำบันทึกประกอบร่างกฎหมายเพื่ออธิบายโครงสร้างของกฎหมาย
(Structure) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะพิจารณาจากบันทึกประกอบร่างนั้นว่าร่างกฎหมายมีจุดมุ่งหมายอย่างไร
วิธีการที่จะไปสู่จุดมุ่งหมายนั้นทำได้หรือไม่
และตัวเอกสารตัวนี้ก็จะเป็นฐานในการตรวจสอบกฎหมายในทุกลำดับชั้นในกระบวนการร่างกฎหมาย
ประเด็นปัญหาที่ ๓ เกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรในกระบวนการร่างกฎหมาย
โดยความเห็นส่วนตัวนั้น
เห็นว่าการร่างกฎหมายที่ดีได้นั้นทำยากกว่าการตีความกฎหมาย
เนื่องจากผู้ที่เขียนกฎหมายจะต้องคาดหมายปัญหาที่จะเกิดขึ้นและเขียนโครงสร้างกฎหมายเพื่อวิธีการแก้ไขกำหนดไว้เป็นการล่วงหน้าได้ ดังนั้น การร่างกฎหมายจึงต้องการผู้ที่มีคุณสมบัติสูงกว่าผู้ที่จะตีความกฎหมาย
และในขณะที่ผมเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยมี
การวางแผนในการฝึกบุคลากรฝ่ายร่างกฎหมาย ซึ่งในขั้นต้นจะเริ่มตั้งแต่การศึกษากฎหมายง่ายๆ
และต้องรู้ว่ากฎหมายของประเทศมีกฎหมายอะไรบ้าง มีกี่รูปแบบซึ่งจะใช้เวลาในการศึกษาและฝึกฝนอย่างน้อย
๑๐ ปีขึ้นไป จนกระทั่งสามารถวางโครงสร้างกฎหมายได้ ซึ่งการจะศึกษาและฝึกฝนจนถึงขั้นนี้ได้นั้นต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า
๒๐ ปี แต่ในความเป็นจริงเรามีระบบและความสามารถที่จะพัฒนาบุคคลในระดับนี้ได้หรือไม่
นอกจากนี้มีสถาบันที่จะฝึกฝนบุคคลากรเกี่ยวกับการร่างกฎหมายเพียงแห่งเดียวคือ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ในขณะที่โครงสร้างเรื่องเงินเดือนของเจ้าหน้าที่
ที่จะปฏิบัติงานด้านการร่างกฎหมายนั้นถูกบิดเบือนไปหมด ตุลาการผู้ซึ่งมีหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาด
ข้อกฎหมาย หรืออัยการ มีเงินเดือนที่สูงกว่า ดังนั้น จึงเกิดปัญหาในเรื่องบุคคลากรในกระบวนการร่างกฎหมายโอนย้ายไปยังศาลยุติธรรม
ศาลปกครอง หรือสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป แม้ว่าจะมีการปรับปรุงกระบวนการร่างกฎหมายให้ดีหรือสมบูรณ์อย่างไร
แต่หากบุคคลากรยังไม่มีความพร้อม กระบวนการร่างกฎหมายก็ไม่อาจจะเกิดประสิทธิภาพได้
จึงเป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณากันต่อไปว่าจะแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นได้อย่างไร
บัดนี้
ก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว ก็ขอจบการบรรยายเรื่องปัญหาของกระบวนการร่างกฎหมายของฝ่ายบริหารไว้เพียงแต่นี้
ขอขอบคุณผู้เข้าร่วมสัมมนาทุกท่านที่ได้ให้ความสนใจในการรับฟังการบรรยายด้วยดีตลอดมา
ขอขอบคุณ
__________________________