กฎหมายปกครองกับการบริหารประเทศ (ที่กำลังพัฒนา)
โดยศาสตราจารย์ ดร. อมร จันทรสมบูรณ์
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ขณะนี้สิ่งที่ข้าพเจ้าในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาถูกถามอยู่บ่อยๆ
ก็คือทำไมสิงคโปร์และมาเลเซียจึงเจริญได้เร็วกว่าประเทศไทย
ทำไมเขาจึงตรากฎหมายที่มีบทบัญญัติเช่นนั้นเช่นนี้ได้ ทำไมฝ่ายบริหารและข้าราชการของประเทศเหล่านี้จึงมีอำนาจคล่องตัวมากกว่าฝ่ายบริหารและข้าราชการของประเทศไทย
ทำให้ข้าพเจ้าต้องถามตนเองอยู่บ่อย ๆ ว่า
มีอะไรผิดปกติในระบบกลไกการบริหารของประเทศเราหรือไม่ และถ้าหากจะมี
นักกฎหมายไทยทราบถึงการผิดปกตินี้หรือไม่
และการสอนวิชานิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยได้ทำให้นักศึกษาวิเคราะห์และมองเห็นสิ่งที่(อาจ) ผิดปกติเหล่านี้หรือไม่
รัฐเป็นองค์กร
(ไม่ว่าจะถือว่าเป็นนิติบุคคลหรือไม่) ขนาดใหญ่
บริการสาธารณะของรัฐได้จัดทำโดยข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐจำนวนมาก
ตามสถิติของทางราชการ ขณะนี้มีข้าราชการอยู่ ๘๕๓,๒๕๕ คน
ลูกจ้างของรัฐ ๖๗๑,๕๐๔ คน และพนักงานของรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ
อีก ๒๓๔,๕๗๖ คน
บริการสาธารณะที่จัดทำโดยข้าราชการนั้น
รัฐได้แบ่งข้าราชการออกเป็นประเภทต่าง ๆ หลายประเภท มีตั้งแต่ข้าราชการตุลาการที่ทำหน้าที่ชี้ขาดคดี
ข้าราชการอัยการที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลการฟ้องคดี ฯ ข้าราชการตำรวจ
ข้าราชการพลเรือน (ทั่วไป)
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ข้าราชการทหาร ฯลฯ
บริการสาธารณะที่กระทำโดยพนักงานรัฐวิสาหกิจ
ก็มีหลายกิจการ เป็นต้นว่ากิจการการไฟฟ้า (การไฟฟ้าฝ่ายผลิต-นครหลวง-ภูมิภาค) การประปา
การท่าเรือ ฯลฯ
ท่านลองคิดเปรียบเทียบการจัดโครงสร้างและระบบบริหารของประเทศกับการจัดโครงสร้างและระบบบริหารในบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ ๆ
ท่านก็จะทราบว่าโครงสร้างและระบบบริหารของรัฐมีความยุ่งยากและสลับซับซ้อนเพียงใด
คงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า
ประเทศที่พัฒนาแล้วย่อมโชคดีกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา เพราะในอดีต
ประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้นได้มีระยะเวลาอันยาวนานสำหรับพัฒนาระบบโครงสร้างและระบบบริหารของตนเอง
จนกระทั่งในปัจจุบัน ประเทศเหล่านั้นอยู่บนพื้นฐานที่มั่นคงและอยู่ในสภาพที่สามารถแก้ปัญหาที่สับสนยุ่งยากต่าง
ๆ ในปัจจุบันได้ ระยะนี้เป็นระยะที่ทรัพยากรของมนุษยชาติเหลืออยู่จำกัด
และรัฐมีหน้าที่ในการจัดระบบเศรษฐกิจสังคมและการเมือง
ที่เพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดตลอดจนเป็นระยะที่มีการแก่งแย่งแข่งขันกันในทางการเมืองระหว่างประเทศมหาอำนาจและมีการแทรกแซงจากประเทศมหาอำนาจ
ระบอบการปกครองและการแบ่งแยกการใช้อำนาจของรัฐและของเจ้าหน้าที่ของรัฐในรูปแบบและในระดับต่าง
ๆ ย่อมเป็นผลผลิตอันเกิดจากการพยายามแก้ปัญหาในระยะต่าง ๆ
ของอดีตอันยาวนานของแต่ละประเทศ รูปแบบการปกครองก็ดี หรือโครงสร้างและการจัดระบบบริหาร
บริการสาธารณะก็ดี (เช่นการจัดระบบบริการสาธารณะโดยแบ่งหน้าที่ให้แก่ข้าราชการประเภทต่าง
ๆ การจัดระบบศาลและระบบคณะกรรมการ การแบ่งราชการกลางกับราชการส่วนภูมิภาค
การกระจายอำนาจให้แก่ส่วนท้องถิ่นในรูปแบบต่าง ๆ การจัดกิจการบริการบางอย่างในรูปรัฐวิสาหกิจ
ฯลฯ) เป็นสิ่งที่น่าศึกษาและวิเคราะห์
เพราะแต่ละประเทศต่างก็มีสภาพสังคมเศรษฐกิจตลอดจนปัญหาทางการเมืองแตกต่างกัน
ประสบการณ์
เหล่านี้ย่อมนำมาใช้ประโยชน์ในการดัดแปลงปรับปรุงกลไกการบริหารของเราเองได้
ประเทศไทยได้เคยรอดพ้นจากการขยายอาณานิคมมาสมัยหนึ่งในอดีต
เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้ทำการปฏิรูประบบการบริหารของประเทศได้ทันท่วงทีต่อเหตุการณ์
หากเราลองพิจารณาถึงโครงสร้างและการจัดระบบการบริหารและระบบข้าราชการ
(ประเภทต่างๆ) ของประเทศไทยในปัจจุบัน
ก็จะทราบได้ว่าโครงสร้างและการจัดระบบเหล่านี้
เป็นผลสืบเนื่องมาตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยปี พ.ศ.
๒๔๗๕
ซึ่งเป็นระยะที่ประเทศไทยยังไม่มีปัญหาเศรษฐกิจสังคมและการเมืองมากมายเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
หลังจากนั้นประเทศไทยได้แก้ไขเพิ่มเติมโครงสร้างและจัดระบบราชการบริหารของประเทศตลอดจนสร้างแนวความคิดทางกฎหมายด้วยตัวของเราเองมาโดยตลอด
จนกระทั่งขณะนี้เรามีโครงสร้างและระบบที่เป็นเอกเทศ และแตกต่างไปจากประเทศต่าง ๆ
เรื่องที่น่าจะตั้งปัญหาถามตนเองและตอบด้วยตนเองก็คือ
โครงสร้างและการจัดระบบบริหารและข้าราชการประเภทต่าง
ๆ ของไทยขณะนี้
พอที่จะรับภาระแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสังคมและการเมืองอันยุ่งยากสลับซับซ้อนเต็มไปด้วยความขัดแย้งในผลประโยชน์ในขณะนี้ได้หรือไม่
เพราะเหตุใดเราจึงต้องมีคณะกรรมการ ป.ป.ป. และผลงานของคณะกรรมการ ป.ป.ป. เป็นอย่างใด
เพราะเหตุใดการปราบปรามอาชญากรรมในปัจจุบันจึงไม่ได้ผลตามความมุ่งหมาย
การระดมเจ้าหน้าที่ตำรวจออกปราบปรามจับกุมอาชญากรรมในปัจจุบันจะทำให้อาชญากรรมลดลงในระยะยาวหรือไม่
ฯลฯ
การตอบปัญหาเหล่านี้
น่าจะต้องเลือกตอบได้ในแนวทางใดแนวทางหนึ่งในสองแนว
คือปัญหาความเสื่อมโทรมในการบริหาร รวมทั้งการปราบปรามอาชญากรรมในขณะนี้
เป็นปัญหาเรื่องตัวบุคคลและอัตรากำลัง
หรือว่าเป็นปัญหาที่แสดงถึงความบกพร่องในโครงสร้างและการจัดระบบบริหาร (สิงคโปร์และมาเลเซียอาจจะโชคดีกว่าประเทศไทยหรือไม่
เพราะการที่ประเทศเหล่านี้ได้เคยเป็นเมืองภายใต้อาณัติของประเทศพัฒนาแล้ว
ทำให้ประเทศเหล่านี้ได้รับการถ่ายทอดโครงสร้างและการจัดระบบบริหาร
ตลอดจนแนวความคิดทางกฎหมายและการเมืองมาจากประเทศที่พัฒนาแล้ว)
กฎหมายปกครอง
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ศึกษาถึงโครงสร้าง ระบบการบริหารการจัดสถาบัน
การจัดระบบข้าราชการ
ตลอดจนศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจหน้าที่ของข้าราชการและสถาบันต่าง ๆ
ดังนั้น จึงเป็นสาขากฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่งของการบริหารประเทศ (ที่กำลังพัฒนา)
นักกฎหมายปกครองจะมีหน้าที่สำคัญ ๒ ประการ คือ
หน้าที่ในการร่างกฎหมาย และหน้าที่ในการวินิจฉัยข้อพิพาทในทางปกครอง
ในการร่างกฎหมาย นักกฎหมายปกครองจะต้องพยายามสร้างกลไกของรัฐให้มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุดและในขณะเดียวกันต้องให้การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่ในระบบควบคุมที่เหมาะสมแก่สภาพของกิจการในหน้าที่ด้วย
และในการวินิจฉัยข้อพิพาทในทางปกครอง
นักกฎหมายปกครองจะต้องมีแนวทางที่จะกำหนดระเบียบแบบแผนในการปฏิบัติราชการเพื่อสร้างประสิทธิภาพให้แก่การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
(ซึ่งเป็นบริการสาธารณะ) และในขณะเดียวกันก็จะต้องประสานกับประโยชน์ส่วนของเอกชนด้วย
ทั้งนี้ เพราะผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติราชการที่มีประสิทธิภาพนั้น
ย่อมได้แก่ สาธารณะ อันเป็นส่วนรวม ประโยชน์ส่วนของสาธารณะจะต้องควบคู่ไปกับประโยชน์ส่วนของเอกชนเสมอ
นักกฎหมายสาขากฎหมายปกครองจึงมีแนวความคิดที่แตกต่างไปจากแนวความคิดของนักกฎหมายสาขากฎหมายเอกชน
และจะสร้างหลักกฎหมายและระเบียบแบบแผนที่แตกต่างกันออกไปด้วยหลักตรรกวิทยาที่มีพื้นฐานแตกต่างกันกับกฎหมายเอกชน
ปัญหาในขณะนี้ก็คือ
ฝ่ายบริหารได้มองเห็นความสำคัญของการแยกสาขาของกฎหมาย
และการแยกประเภทกฎหมายและสถาบันของรัฐ ให้เป็นไปตามแนวความคิดและความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องแล้วหรือยัง