แนวความคิดและหลักการของกฎหมาย
ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
โลกยุคไร้พรมแดน
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพัฒนาก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง
คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ ดังจะเห็นได้จากทั้งการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐและการประกอบกิจการของภาคเอกชน
ต่างนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในองค์กร เพื่อความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
ระบบโครงสร้างหลักของประเทศ (Critical National Information Infrastructure and National Information Infrastructure) หน่วยงานด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ การเงินการธนาคาร
การสาธารณูปโภค การคมนาคมขนส่ง ต่างก็ต้องพึ่งพิงระบบคอมพิวเตอร์ในการทำงาน
บ่อยขึ้นที่เราจะได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับไอที อินเทอร์เน็ต อี-คอมเมิร์ส
และบ่อยครั้งที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหล่านี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จขององค์กร
ยิ่งทำให้องค์กรต่างๆ ต้องเร่งพัฒนาสู่การเป็นองค์กรอัจฉริยะ (Intelligence Organization) เพื่อให้รอดพ้นจากการไล่ล่าของอนาคต
ในวันหนึ่งๆ
คนเราต้องเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์แทบทุกคน มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ข้อมูลข่าวสารต่างๆ
เริ่มแปรเปลี่ยนจากหน้ากระดาษไปสู่ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
หลายคนเริ่มอ่านข่าวจากอินเทอร์เน็ตแทนการเปิดอ่านจากหน้าหนังสือพิมพ์
การติดต่อราชการต่างๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไปใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น ทุกวันนี้
เรายื่นแบบประเมินภาษีเงินได้ทางอินเทอร์เน็ตได้ รัฐนำระบบการประมูลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(e-Auction) มาใช้
หรือกระทั่งมีโครงการเปลี่ยนระบบการบริหารการเงินการคลังภาครัฐสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์
(Government Fiscal Management
Information System) ข้อมูลต่างๆ
เกี่ยวกับประชากรปัจจุบันก็ได้มีการจัดเก็บในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์แล้ว
อาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีเข้ามาครอบงำชีวิตประจำวันของคนเราเพิ่มมากขึ้นทุกที
และแทบจะกลายเป็นเครื่องมือในการดำรงชีพของคนเราไปแล้ว
เมื่อคอมพิวเตอร์มีส่วนสำคัญในการประกอบกิจการและการดำรงชีวิตของมนุษย์มากขึ้น
การโจมตีทางอินเทอร์เน็ต (Cyber Attack) ก็มีมากขึ้นเป็นตามไปด้วย ลองคิดดูว่า
ถ้าตื่นขึ้นมาตอนเช้า มีนักเลงคอมพิวเตอร์ (hacker)
ปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์ในระบบคอมพิวเตอร์ของกระบวนการผลิตน้ำประปา
ทำให้น้ำประปาไม่ไหลหรือได้น้ำประปาที่ไม่มีคุณภาพ
จะเปิดใช้อินเตอร์เน็ตที่เป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ขนาดใหญ่ที่สุด
ก็พบแต่ภาพลามกอนาจาร ราวกับกำลังดูวงจรปิดในโรงเตี้ยมราคาถูก
ออกไปเบิกเงินจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ ยอดเงินในบัญชีเงินฝากกลับค่อยๆ
หายไปทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ
เจ้าของบัญชีเองก็อาจไม่ทราบว่าเศษสตางค์ในยอดเงินของตนหายไป รวมกันเข้าหลายหมื่นหลายแสนบัญชี
ก่อเกิดเป็นก้อนเงินหลายล้านบาทที่นักเลงคอมพิวเตอร์ (Hacker) ได้ไป
เหล่านี้เกิดขึ้นได้จริงทั้งสิ้น หากรัฐไม่มีกฎเกณฑ์หรือมาตรการใดรองรับ
ไม่ก้าวให้ทันเทคโนโลยี ความโกลาหลย่อมเกิดขึ้น
ยิ่งคอมพิวเตอร์ทวีความสำคัญและเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของคนมากเท่าไร
ความเสียหายจากการก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ก็ย่อมทวีความรุนแรงได้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
เพื่อป้องกันความเสียหายอันจะเกิดขึ้นดังกล่าว และปราบปรามผู้กระทำความผิด
กระทั่งเป็นการป้องกันอธิปไตยของประเทศทางด้านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ รัฐจึงจำเป็นต้องตรากฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ขึ้น
ความเป็นมา
กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เกิดจากการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติรับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
โดยศึกษาจากกฎหมายของหลายประเทศทั่วโลก อย่างเช่น
อนุสัญญาว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Convention on Cyber-crime)
ของคณะมนตรีแห่งยุโรป (The Council of
Europe) Computer Fraud and Abuse Act 1986 ของสหรัฐอเมริกา Computer Misuse
Act 1990 ของอังกฤษ
และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
ปรับปรุงให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ของสังคมและวัฒนธรรมไทย
ก่อนที่จะเสนอต่อรัฐสภาพิจารณาให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ด้วยเหตุที่ร่างพระราชบัญญัตินี้
มีบทบัญญัติความผิดบางประการที่ไม่ถึงกับเป็นการประกอบอาชญากรรมและร่างกฎหมายฉบับนี้มุ่งเน้นที่การคุ้มครองข้อมูลคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์เป็นสำคัญ
มิได้มีแต่บทบัญญัติที่เป็นการประกอบอาชญากรรมโดยใช้คอมพิวเตอร์เสียทั้งหมด
ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ร่างกฎหมายฉบับนี้จึงได้ชื่อใหม่ว่า ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. ....
หลักการ
ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. .... ได้กำหนดความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของข้อมูลคอมพิวเตอร์ (Computer Data) และระบบคอมพิวเตอร์ (Computer System) โดยมีบทบัญญัติในการรักษาความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องสมบูรณ์ (Integrity) และความพร้อมในการทำงาน (Availability) ของข้อมูลคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นยังเอาผิดกับการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมในระบบคอมพิวเตอร์
รวมทั้งกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้
ความหมายของ ระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และ ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ส่วนใหญ่เป็นการกระทำต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
ในเบื้องต้นจึงต้องทำความเข้าใจความหมายของคำว่า ข้อมูลคอมพิวเตอร์ และ ระบบคอมพิวเตอร์
เสียก่อน
ระบบคอมพิวเตอร์
ในพระราชบัญญัตินี้
หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน
โดยได้มีการกำหนดชุดคำสั่งและแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ
จากความหมายของคำว่า ระบบคอมพิวเตอร์
ข้างต้น
ระบบคอมพิวเตอร์จึงได้แก่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อประมวลผลข้อมูลดิจิทัล
(digital data)
อันประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง (peripheral) ต่างๆ ในการรับเข้าหรือป้อนข้อมูล (input) นำออกหรือแสดงผลข้อมูล (output) และบันทึกหรือเก็บข้อมูล (store
and record) ดังนั้น
ระบบคอมพิวเตอร์จึงอาจเป็นอุปกรณ์เพียงเครื่องเดียว
หรือหลายเครื่องอันมีลักษณะเป็นชุดเชื่อมต่อกันโดยอาจผ่านระบบเครือข่าย
และมีลักษณะการทำงานโดยอัตโนมัติตามโปรแกรมที่กำหนดไว้
และไม่มีการแทรกแซงโดยตรงจากมนุษย์
ส่วนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะหมายถึงชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ หมายความว่า
ข้อมูล ข้อความ หรือชุดคำสั่ง บรรดาที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้
จะเห็นว่าข้อมูลคอมพิวเตอร์
ไม่ใช่เฉพาะตัวอักขระ หรือข้อความที่สื่อความหมาย อ่านเข้าใจได้ที่หน้าจอภาพ (monitor)
เท่านั้น แต่เป็นข้อมูลดิจิทัลที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์
และอยู่ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หมายความว่า
ข้อมูลเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแสดงถึงแหล่งกำเนิด ต้นทาง
ปลายทาง เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการ หรืออื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อสื่อสารของระบบคอมพิวเตอร์นั้น
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
(traffic data) เป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่แสดงแหล่งกำเนิด ต้นทาง ปลายทาง
เส้นทาง เวลา วันที่ ปริมาณ ระยะเวลา ชนิดของบริการ
หรือข้อมูลอื่นที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จะมีความสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด
เป็นช่องทางในการสืบเสาะหาร่องรอยของการกระทำผิดได้
๑. ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ได้แก่ การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิด
การลักลอบดักข้อมูล การทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์เสียหาย การรบกวนระบบคอมพิวเตอร์
การจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
และการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมในระบบคอมพิวเตอร์
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิด
การเข้าถึง
(access)
ระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน
เป็นความผิดตามร่างมาตรา ๕
หากเป็นการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ
และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน เป็นความผิดตามร่างมาตรา ๗
และถ้าผู้ที่ล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะ
นำมาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
เป็นความผิดตามร่างมาตรา ๖
ในการประชุมของคณะกรรมการกฤษฎีกา
นักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์ท่านหนึ่งได้เปรียบเทียบความผิดข้างต้นไว้น่าฟังว่า
หากเปรียบระบบคอมพิวเตอร์เป็นบ้านหลังหนึ่ง
การเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดตามร่างมาตรา ๕ นั้น
ก็เสมือนกับการบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้อื่น
การเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดตามร่างมาตรา ๗
ก็เสมือนว่าผู้บุกรุกนั้นนอกจากจะเข้าไปในบ้านหลังนั้นได้แล้ว
ยังได้เข้าไปรื้อค้นเอกสารในตู้เก็บเอกสารในนั้นด้วย ส่วนความผิดตามร่างมาตรา ๖
นั้น เสมือนเป็นการนำกุญแจผีที่ไขเข้าไปในบ้านได้ แจกจ่ายให้กับบุคคลอื่นนั่นเอง
การเข้าถึงนี้
อาจเป็นการเข้าถึงโดยผู้กระทำผิดรู้หรือได้รหัสผ่านของข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์มาโดยมิชอบ
แล้วทำการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์นั้น
หรืออาจเป็นการเข้าถึงผ่านระบบเครือข่าย ผู้กระทำผิดอาจเป็นผู้มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ดีพอที่จะเจาะมาตรการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์นั้นได้
สังเกตว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เอาผิดกับนักเลงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่พยายามเจาะ (hacking or cracking) เข้าไปในระบบของผู้อื่นเลยทีเดียว
ไม่คำนึงว่าเข้าไปโดยประสงค์อย่างไร
เพียงแต่เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงไว้
ก็เป็นความผิดสำเร็จทันที
บางกรณีการกระทำความผิดฐานเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตรา
๗ อาจไม่จำต้องกระทำผิดฐานเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ตามมาตรา ๕ ก่อนก็ได้ เช่น การเอาแผ่นบันทึกข้อมูลของผู้อื่นที่มีการตั้งรหัสผ่านไว้ไปเปิดอ่านในระบบคอมพิวเตอร์ของตนเอง
เกี่ยวกับความผิดตามร่างมาตรา
๕ และมาตรา ๗ นี้ มีความเห็นในอีกแง่มุมหนึ่งว่า
หากมาตรการป้องกันการเข้าถึงนั้นเป็นมาตรการที่ไม่แน่นหนา
ประหนึ่งบ้านที่ใช้กลอนประตูคุณภาพต่ำ การบุกรุกหรือการเข้าถึงกระทำได้ง่ายและอาจไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ
และเป็นไปได้ที่บุคคลในครอบครัวเดียวกันนั้นเองที่ต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์นั้น
โดยไม่มีเจตนาร้าย ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงได้บัญญัติไว้ให้เป็นความผิดอันยอมความได้
และกำหนดโทษไว้ไม่สูงนัก
การลักลอบดักรับข้อมูล
การกระทำด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อดักรับ(interception)ไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์
และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นมิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้นั้น
เป็นความผิดตามร่างมาตรา ๘
การกระทำความผิดตามมาตรานี้เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวในการติดต่อสื่อสาร (The Right of Privacy of Data Communication) ของบุคคล
มาตรานี้บัญญัติขึ้นเพื่อเอาผิดกับการลักลอบเข้าไปดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
โดยผู้กระทำอาจจะต้องการทราบรหัสผ่าน (Password) ของผู้อื่น
หรือเพื่อฉวยโอกาสละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Private Data)
เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจหรือข้อมูลความลับทางการค้าใดๆ เช่น การใช้โปรแกรมจำพวก Spy wear, Sniffer, Trojan horse ในการลักลอบดูพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
หรือลอบเก็บรหัสผ่านที่กดบนแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
หากข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น
เป็นข้อมูลที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ (Public Transmission) เช่น เป็นข้อมูลที่เผยแพร่ทั่วไปในเว็บต่างๆ
การดักรับซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่เป็นความผิด ข้อยกเว้นความผิดอีกประการหนึ่งก็คือ
การดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามคำสั่งเฉพาะของเจ้าของข้อมูลคอมพิวเตอร์
อาจเป็นการว่าจ้างให้มีการตรวจสอบข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ
ก่อนที่จะส่งให้กับเจ้าของข้อมูล
เพื่อป้องกันความเสียหายจากไวรัสคอมพิวเตอร์ที่ติดมากับข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น
หรือเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นตามที่ตกลงกันไว้ก็ได้
การทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์เสียหาย
การกระทำโดยมิชอบ
ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น เป็นความผิดตามร่างมาตรา ๙
บทบัญญัติมาตรานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองความครบถ้วนถูกต้อง
(integrity) ของข้อมูลคอมพิวเตอร์
การทำงานโดยใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องครบถ้วนนั้นย่อมทำให้การประมวลผลได้ผลลัพธ์ที่ผิดพลาด
ความผิดตามมาตรานี้
นอกจากจะทำความเสียหายต่อข้อมูลในแง่ของการทำให้ข้อมูลนั้นสื่อความหมายผิดพลาดแล้ว
ยังครอบคลุมถึงการทำให้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เสียหาย
รวมทั้งอาจมีผลทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ได้รับความเสียหายด้วย
ระดับความเสียหายของการกระทำความผิดจึงอาจมากน้อยต่างกัน
ขึ้นอยู่กับระดับความสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ที่เป้าหมายในการกระทำผิด (the target of crime)
กฎหมายได้คำนึงถึงความแตกต่างในเรื่องนี้จึงได้กำหนดให้การกระทำความผิดตามมาตรานี้
ต้องเป็นการกระทำโดยมิชอบ หากเป็นการกระทำโดยสุจริต กระทำไปโดยมิได้มีเจตนาร้าย
เช่น
การแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เป็นประวัติของคนไข้ให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
โดยหากรอช้าผู้ป่วยอาจได้รับอันตราย ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น
ตรงข้ามกลับเป็นคุณแก่ผู้ป่วย ถือว่ามิใช่การกระทำโดยมิชอบ
จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
หรือถ้าการกระทำความผิดตามมาตรานี้
เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแต่เพียงเล็กน้อย กฎหมายก็บัญญัติไว้ให้เป็นความผิดอันยอมความได้
เพื่อให้ผู้เสียหายตัดสินใจว่าจะดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดหรือไม่
อย่างไรก็ตาม
หากการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่อระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญหรือทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักขึ้นตามมาตรา ๑๑ และไม่ใช่ความผิดอันยอมความได้
การรบกวนการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
การกระทำด้วยประการใดๆ
อันเป็นการทำให้การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง
หรือรบกวนจนไม่สามารถทำงานตามปกติได้ เป็นความผิดตามมาตรา ๑๐
มาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่ต้องการที่จะคุ้มครองเสถียรภาพหรือความพร้อมในการใช้งานของระบบคอมพิวเตอร์
ให้สามารถทำงานได้ตามปกติ ตัวอย่างของการกระทำความผิดตามมาตรานี้ เช่น
การส่งข้อมูลเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ใดเป็นปริมาณมหาศาลเพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์นั้นทำงานไม่ได้
หรือทำงานไม่ได้ตามปกติ
การกระทำความผิดตามมาตรานี้หากเป็นการกระทำต่อระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญหรือทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
ผู้กระทำต้องระวางโทษหนักขึ้นตามมาตรา ๑๑ ด้วย
การจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่ใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
มาตรา ๑๒
บัญญัติให้การจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด
ตามมาตรา ๕ ถึงมาตรา ๑๐ เป็นความผิดต้องระวางโทษตามมาตรา ๑๒
ชุดคำสั่งตามมาตรานี้
อาจเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการกระทำความผิด เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์
สังเกตว่า การจำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งที่จะเป็นความผิดนั้น
ต้องเป็นชุดคำสั่งที่จัดทำขึ้นเฉพาะเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด (a tool in the commission of crime) เช่น
การจำหน่ายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีไว้สำหรับดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
หรือจำหน่ายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในการเจาะระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
หากเป็นโปรแกรมในการทำงานทั่วไป
แต่ผู้กระทำความผิดนำโปรแกรมนั้นมาใช้ในการกระทำความผิดเอง
ผู้จำหน่ายหรือเผยแพร่โปรแกรมก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้
การนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ความผิดในการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมนั้น
กฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓ ถึงมาตรา ๑๕ โดยมาตรา ๑๓
บัญญัติถึงการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมต่างๆเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ มาตรา
๑๔ บัญญัติถึงหน้าที่ลบข้อมูลที่ไม่เหมาะสมนั้นของผู้ให้บริการ ส่วนมาตรา ๑๕
เป็นการตัดต่อภาพของผู้อื่นให้ได้รับความอับอายหรือเสียชื่อเสียง
ดังจะกล่าวต่อไปนี้
มาตรา
๑๓
บัญญัติเอาผิดกับการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมหลายประการ
กล่าวคือ
๑.
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ทำให้บุคคลอื่นเชื่อว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลที่สามหรือจัดทำขึ้นโดยบุคคลที่สาม
โดยประการที่น่าจะทำให้บุคคลที่สามนั้นหรือประชาชนเสียหาย
๒.
ข้อมูลคอมพิวเตอร์เท็จ ที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ
หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกกับประชาชน
๓.
ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายอาญา
และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
นอกจากนั้น
กฎหมายยังเอาผิดกับการเผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม
ข้อ ๑ ถึง ๓ และเพิ่มโทษสำหรับการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นภาพลามกของบุคคลอายุไม่เกินสิบแปดปีด้วย
ตัวอย่างของการกระทำความผิดตามมาตรานี้ที่เกิดขึ้นบ่อยคือ
การโพสต์ (post)
ข้อความเพื่อหลอกลวงผู้อื่นผ่านทางเว็บบอร์ดในอินเทอร์เน็ต
หรือการทำเว็บไซต์ลามกอนาจาร เป็นต้น
จากบทบัญญัติมาตรา
๑๓ ที่เอาผิดกับการนำข้อมูลอันไม่เหมาะสมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์จึงเป็นเสมือนพื้นที่ในการกระทำความผิด
กฎหมายจึงได้กำหนดให้ผู้ให้บริการซึ่งเปรียบเป็นเจ้าของพื้นที่ดังกล่าวมีหน้าที่จัดการลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมนั้นออกจากพื้นที่ให้บริการของตนในทันทีที่รู้ถึงการกระทำความผิดตามมาตรา
๑๓
โดยหากผู้ให้บริการรู้แล้วยังไม่จัดการลบเสียในทันทีหรือในโอกาสแรกที่สามารถลบได้
ก็ต้องรับโทษตามมาตรา ๑๔
มาตรา
๑๕ บัญญัติให้การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์
ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ
เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้
โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง
หรือได้รับความอับอาย เป็นความผิด
ความผิดตามร่างมาตรา
๑๕ นี้คล้ายกับจะเป็นการหมิ่นประมาททางระบบคอมพิวเตอร์
แต่ก็ไม่ถึงกับทับทาบกันในทุกองค์ประกอบความผิดเสียทีเดียว
บทบัญญัติทั้งสองมาตราดังกล่าวมีความแตกต่างกันอยู่หลายประการ กล่าวคือ
ความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ต้องมีการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม
แต่ความผิดตามร่างมาตรา ๑๕ เป็นการนำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น
ที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ
เติมหรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือด้วยวิธีอื่นใดเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
การกระทำดังกล่าวอาจไม่เป็นการใส่ความใดๆ ไม่ต้องใส่ความต่อบุคคลที่สามก็ได้
หมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญาต้องทำโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง
ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง แต่ความผิดตามร่างมาตรา ๑๕
นอกจากจะทำโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง
ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังแล้ว
หากทำให้ผู้อื่นนั้นได้รับความอับอายก็เป็นความผิดตามร่างมาตรานี้แล้ว
ตัวอย่างของการกระทำความผิดตามมาตรานี้
เช่น การนำภาพใบหน้าของดารา นักแสดง
หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงมาตัดต่อกับภาพเปลือยของคนอื่น ทำให้ดารา นักแสดง
หรือบุคคลนั้น เสียชื่อเสียง หรือได้รับความอับอาย
๒. บทบัญญัติว่าด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่
บทบัญญัติในหมวดว่าด้วยพนักงานเจ้าหน้าที่
นอกจากจะกำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว
ยังได้กำหนดวิธีปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ การรับฟังพยานหลักฐานของศาล
และบทบัญญัติอันเป็นความผิดเกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย อาจกล่าวได้ว่าพระราชบัญญัตินี้มีทั้งบทบัญญัติที่เป็นกฎหมายสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติรวมอยู่ในฉบับเดียวกัน
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ
มีการนำมาตรการทางปกครองมาใช้กับบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่
ความหมายของพนักงานเจ้าหน้าที่
พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
อาจแยกได้เป็นสองระดับ คือ
๑. ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
บุคคลที่จะได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ได้
ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีความรู้และความชำนาญเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์และผ่านการอบรมหลักสูตรตามที่รัฐมนตรีกำหนด
(มาตรา ๒๖) เมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วก็จะมีอำนาจต่างๆ
ตามที่พระราชบัญญัตินี้กำหนด
๒. พนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ พนักงานเจ้าหน้าที่ประเภทนี้นอกจากจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่
(มาตรา ๒๖)
แล้วยังเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะที่รัฐมนตรีกำหนดให้เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
(มาตรา ๒๗) ด้วย พนักงานเจ้าหน้าที่ประเภทนี้นอกจากจะมีอำนาจกระทำการต่างๆ
ตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว ยังมีฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่
มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย
เช่น อำนาจจับ ควบคุม ค้น
ความแตกต่างที่สำคัญของพนักงานเจ้าหน้าที่ทั้งสองระดับข้างต้นคือ
อำนาจของผู้ได้รับแต่งตั้งจากรัฐมนตรีให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้
(ตามมาตรา ๔ ประกอบมาตรา ๒๖) จะมีอำนาจต่างๆ
ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น ไม่มีอำนาจอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
แต่หากเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งรัฐมนตรีกำหนดให้เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่
จะมีฐานะเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มีอำนาจ จับ ควบคุม ค้น หรืออำนาจอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนด
แต่ทั้งนี้
พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้อาจร้องขอให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ดำเนินการจับ ควบคุม ค้น สอบสวน และดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้
และพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จะดำเนินการจับ ควบคุม ค้น สอบสวน
และดำเนินคดีผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ได้เพียงเท่าที่ได้รับการร้องขอจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
(มาตรา ๒๗)
อำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่
การสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีที่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา ๑๖
ของพระราชบัญญัตินี้ได้บัญญัติถึงอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้หลายประการ
โดยกฎหมายกำหนดกรอบของการใช้อำนาจไว้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการได้เฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
(มาตรา ๑๘)
อำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา
๑๖ ได้แก่
๑. สั่งให้บุคคลซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลคอมพิวเตอร์
หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์
หรืออุปกรณ์ดังกล่าว ให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งนี้
เฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการหาตัวผู้กระทำความผิด
๒. ทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์จากระบบคอมพิวเตอร์ที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
การใช้อำนาจทำสำเนานี้กระทำได้เฉพาะเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามมาตรา
๙ กล่าวคือ การกระทำโดยมิชอบทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง
หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น
และการใช้อำนาจนี้ต้องไม่เป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็นด้วย
๓. ตรวจสอบหรือเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ ข้อมูลคอมพิวเตอร์
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด
อันเป็นหลักฐานหรืออาจใช้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิด หรือเพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิด
และในกรณีจำเป็นจะสั่งบุคคลนั้นให้ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็นให้ด้วยก็ได้
๔. ถอดรหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์ของบุคคลใด
หรือสั่งให้บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเข้ารหัสลับของข้อมูลคอมพิวเตอร์
ทำการถอดรหัสลับ หรือให้ความร่วมมือกับพนักงานเจ้าหน้าที่ในการถอดรหัสลับ
๕. เรียกข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์จากผู้ให้บริการเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์หรือจากบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง
แต่ทั้งนี้ ไม่รวมถึงเนื้อหาของข้อมูลที่บุคคลมีติดต่อถึงกัน
๖. สั่งให้ผู้ให้บริการส่งมอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้ใช้บริการ
ที่ต้องเก็บตามมาตรา ๒๔ หรือที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมของผู้ให้บริการ
ให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่
๗. ยึดหรืออายัดระบบคอมพิวเตอร์เท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อประโยชน์ในการทราบรายละเอียดแห่งความผิดและผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
การยึดหรืออายัดนี้พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องทำหนังสือแสดงการยึดหรืออายัดมอบให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองระบบคอมพิวเตอร์นั้นไว้เป็นหลักฐาน ทั้งนี้
โดยจะยึดหรืออายัดไว้เกินสามสิบวันมิได้ ในกรณีจำเป็นที่ต้องยึดหรืออายัดไว้นานกว่านั้น
ให้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอขยายเวลายึดหรืออายัดได้
แต่ศาลจะอนุญาตให้ขยายเวลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งรวมกันได้อีกไม่เกินหกสิบวัน เมื่อหมดความจำเป็นที่จะยึดหรืออายัดหรือครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว
พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องส่งคืนระบบคอมพิวเตอร์ที่ยึดหรือถอนการอายัดโดยพลัน
๘. มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลใดๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้มาเพื่อให้ถ้อยคำ
ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งเอกสาร ข้อมูล
หรือหลักฐานอื่นใดที่อยู่ในรูปแบบที่สามารถเข้าใจได้
การใช้อำนาจในข้อ ๓ และข้อ ๕ นั้น
กฎหมายกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องบันทึกรายละเอียดการดำเนินการและเหตุผลแห่งการดำเนินการ
แล้วรายงานต่อศาลจังหวัดที่มีเขตอำนาจหรือศาลอาญาภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงนับแต่เวลาลงมือดำเนินการ
หากศาลเห็นว่าการดำเนินการนั้นไม่ใช่การกระทำเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
หรือศาลเห็นว่าการใช้อำนาจในการทำสำเนาข้อมูลคอมพิวเตอร์ของพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น
ไม่ใช่การกระทำได้เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำความผิดตามมาตรา ๙
หรือกระทำไปโดยเป็นอุปสรรคในการดำเนินกิจการของเจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นเกินความจำเป็น
ศาลจะสั่งระงับการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นก็ได้
กรณีพนักงานเจ้าหน้าที่พบชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์
ในกรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า
ข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดมีชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วย
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งห้ามจำหน่ายหรือเผยแพร่ หรือสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นระงับการใช้
ทำลาย หรือแก้ไขข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไขในการใช้
มีไว้ในครอบครอง หรือเผยแพร่ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์ดังกล่าวก็ได้ (มาตรา ๑๙
วรรคแรก)
ชุดคำสั่งไม่พึงประสงค์นั้น
หมายถึง ชุดคำสั่งที่มีผลทำให้ข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์หรือชุดคำสั่งอื่นเกิดความเสียหาย
ถูกทำลาย ถูกแก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติม ขัดข้อง
หรือปฏิบัติงานไม่ตรงตามคำสั่งที่กำหนดไว้
หรือโดยประการอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ทั้งนี้ เว้นแต่เป็นชุดคำสั่งที่มุ่งหมายในการป้องกันหรือแก้ไขชุดคำสั่งดังกล่าวข้างต้นตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
(มาตรา ๑๙ วรรคสอง)
ความผิดเกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่
อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้มีหลายประการ
ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่อำนาจบางประการ หากใช้ในทางที่ผิดก็อาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลได้
พระราชบัญญัตินี้จึงบัญญัติเอาผิดกับการกระทำอันเป็นความผิดเกี่ยวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ด้วย
ดังนี้
๑. ห้ามมิให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลคอมพิวเตอร์
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ให้บริการ
ที่ได้มาจากการใช้อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๑๖ ให้แก่บุคคลใด
เว้นแต่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้
หรือเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีกับพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
หรือเป็นการกระทำตามคำสั่งของศาลในการพิจารณาคดี (มาตรา ๒๐)
กรณีที่บุคคลใดมีอำนาจตามกฎหมายอื่นใด
ในการเรียกเอกสารหรือหลักฐานหรือข้อมูลใดๆ หรือมีอำนาจเรียกบุคคลใดมาให้ถ้อยคำ
เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามกฎหมายอื่นใดนั้น
พระราชบัญญัตินี้บัญญัติยกเว้นไว้ว่าห้ามนำกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ให้ให้ถ้อยคำหรือเปิดเผยหรือส่งมอบข้อมูลที่ได้มาจากการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัตินี้แก่บุคคลใดนั้น
๒. พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ
ที่ได้มาด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา ๑๖ เป็นความผิดตามมาตรา ๒๑
๓. ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลคอมพิวเตอร์
ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูลของผู้ใช้บริการ
ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มาตามมาตรา ๑๖ และเปิดเผยข้อมูลนั้นต่อบุคคลที่สาม
เป็นความผิดตามมาตรา ๒๒
ความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่
ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา
๑๖ หรือมาตรา ๑๙ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดตามมาตรา
๑๙ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกินสองแสนบาท
และปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
โดยถ้าผู้ถูกสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองไม่ยอมชำระค่าปรับ ก็ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
และให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับเมื่อผู้ถูกสั่งให้ชำระค่าปรับได้ชำระค่าปรับทางปกครองแล้ว
จะเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้บัญญัติให้นำวิธีบังคับทางปกครองมาใช้บังคับกับความผิดฐานขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่
หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
แทนการใช้มาตรการบังคับทางอาญา
เพราะการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดนั้น
เสมือนเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่เอง
กฎหมายจึงบัญญัติให้นำมาตรการบังคับทางปกครองมาใช้บังคับ
ทั้งนี้ก็เพื่อความรวดเร็วในการบังคับคดี
และทำให้ปริมาณคดีที่ขึ้นสู่ศาลยุติธรรมน้อยลง ซึ่งหากผู้ที่ถูกสั่งให้ชำระค่าปรับทางปกครองต้องการโต้แย้งคำสั่งหรือเห็นว่าการกระทำของเจ้าพนักงานเป็นไปโดยไม่ชอบ
ก็สามารถโต้แย้งหรือดำเนินคดีเป็นคดีปกครองต่อศาลปกครองได้
หน้าที่ของผู้ให้บริการในการเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์
การกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พ.ศ. .... นั้น เป็นการกระทำความผิดในระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์จึงเป็นเสมือนพื้นที่ในการกระทำความผิด
ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
พนักงานเจ้าหน้าที่ก็คงต้องเสาะแสวงหาข้อมูลหรือร่องรอยของผู้กระทำความผิดนั้นจากระบบคอมพิวเตอร์นั่นเอง
ผู้ให้บริการในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมดูแลระบบคอมพิวเตอร์ในส่วนของตนจึงมีส่วนช่วยในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ได้
ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติมาตรา ๑๔
ได้กำหนดให้ผู้ให้บริการมีหน้าที่จัดการลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ไม่เหมาะสมที่ปรากฏในพื้นที่ให้บริการของตนออกจากระบบคอมพิวเตอร์
และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าจะเป็นในการแสวงหาข้อเท็จจริง รวบรวมพยานหลักฐาน
รวมทั้งสืบเสาะร่องรอยของผู้กระทำความผิด ก็ตาม กฎหมายจึงได้กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการไว้อีกประการหนึ่ง
คือ
ผู้ให้บริการต้องเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้ไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่ข้อมูลนั้นเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ในกรณีจำเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่จะสั่งให้ผู้ให้บริการใดเก็บรักษาข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้เกินสามสิบวันแต่ไม่เกินเก้าสิบวันเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้
ในกรณีที่ผู้ให้บริการมีสัญญาหรือข้อตกลงในการให้บริการกับผู้ใช้บริการ
ผู้ให้บริการต้องเก็บสัญญาหรือข้อตกลงนั้นไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบวันนับแต่วันที่สัญญาหรือข้อตกลงนั้นสิ้นอายุ
ผู้ให้บริการที่ฝ่าฝืนไม่เก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนด
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าแสนบาท
อย่างไรก็ตาม
ผู้ให้บริการตามพระราชบัญญัตินี้มีหลากหลายประเภท
ผู้ให้บริการแต่ละรายแต่ละประเภทก็มีปริมาณข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ในความดูแลของตนมากน้อยต่างกัน
กฎหมายจึงกำหนดว่าหน้าที่ในการเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวนั้น
จะใช้บังคับกับผู้ให้บริการประเภทใด และเมื่อใดนั้น
ให้เป็นไปตามที่รัฐมนตรีกำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
บทส่งท้าย
หากเปรียบกฎหมายเป็นยารักษาโรค
กฎหมายฉบับนี้คงเป็นยารักษาความเจ็บป่วยของสังคมจากการโจมตี
หรือทำร้ายของวายร้ายคอมพิวเตอร์ การนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
แม้จะเป็นปลายทางของการแก้ปัญหา
แต่ก็จะช่วยลดทอนความเสียหายและทำให้ผู้กระทำความผิดมีจำนวนน้อยลงได้
แต่สิ่งที่หวังจะให้เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่แต่เพียงการปราบปรามผู้กระทำผิด
สังคมจะเข้มแข็งได้คงต้องขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของสังคมนั้นๆ
ที่ประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความรู้ และใช้ความรู้นั้นด้วยสำนึกที่ดี ความตื่นตัว (Awareness) ในเทคโนโลยีทำให้เราได้อยู่ในสังคมล้ำยุค
แต่ทุกคนคงต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบ (Responsibility) สร้างสำนึกแห่งการใช้ความรู้หรือเทคโนโลยีอย่างมีจริยธรรม
(Ethics) เราก็จะมีสังคมที่ดีและแข็งแรง ประหนึ่งมีภูมิคุ้มกันชั้นเลิศ
ป้องกันภัยร้ายไม่ให้ย่างกรายเข้ามาก่อปัญหาใดในสังคม