ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
ก. บทบัญญัติของกฎหมาย
ตัวบทกฎหมายที่บัญญัติถึงการห้ามการเป็นผู้มีส่วนได้เสีย พบได้ใน ๔ ลักษณะ ดังนี้
(๑) กฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรอื่น
(๒) กฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(๓) กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(๔)
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรอื่นนั้น
ได้บัญญัติไว้เป็นลักษณะต้องห้ามการดำรงตำแหน่งต่างๆ ได้แก่
ประธานกรรมการ กรรมการ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และเลขาธิการหรือผู้อำนวยการ
โดยกฎหมายแต่ละฉบับใช้ถ้อยคำแตกต่างกันไป ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้
- จะต้อง ไม่มีส่วนได้เสียในกิจการที่กระทำกับ
กกท. ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม (มาตรา ๒๒ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๘)
- กฎหมายบางฉบับอาจขยายความออกไปเป็นข้อยกเว้นอีกว่า ..... เว้นแต่จะเป็นเพียงผู้ถือหุ้นของบริษัทที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น (เช่น มาตรา ๒๕ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔)
หรืออาจใช้ถ้อยคำดังต่อไปนี้
- เป็นผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจที่กระทำกับ กคช.
หรือในธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับกิจการของ กคช. ทั้งนี้
ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เว้นแต่เป็นผู้ถือหุ้นหรือเป็นหุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิดในกิจการเช่นว่านั้นก่อนวันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ
กรรมการ
หรือเป็นผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายให้เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในบริษัทจำกัด
หรือบริษัทมหาชนจำกัด ที่ กคช. เป็นผู้ถือหุ้น (มาตรา
๑๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๗)
-
ไม่มีส่วนได้เสียในสัญญาหรือในธุรกิจที่ทำกับสถาบันไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
เว้นแต่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นเพื่อประโยชน์ในการลงทุนโดยสุจริตในบริษัทที่ทำสัญญาหรือธุรกิจกับสถาบัน (มาตรา
๑๖ (๘) แห่งพระราชบัญญัติสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย พ.ศ.
๒๕๒๒)
- ไม่เป็นหรือภายในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนวันได้รับแต่งตั้ง
ไม่เคยเป็นกรรมการหรือผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการจัดการหรือมีส่วนได้เสียในนิติบุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญาผู้เข้าร่วมงาน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของสำนักงาน (มาตรา ๓๒ (๑๒) แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕)
-ไม่ประกอบอาชีพหรือวิชาชีพอิสระอื่นใดที่มีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งกรรมการ (มาตรา ๑๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓)
กฎหมายเกี่ยวกับการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะหลังนี้พระราชบัญญัติเทศบาล พุทธศักราช ๒๔๙๖
พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐
และพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗
ที่แก้ไขเพิ่มเติมจนถึงปัจจุบัน จะบัญญัติไว้โดยมีถ้อยคำคล้ายๆ กัน
ดังตัวอย่างของพระราชบัญญัติเทศบาลฯ ดังนี้
-
สมาชิกสภาเทศบาลต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่เทศบาลนั้นเป็นคู่สัญญาหรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลนั้นหรือที่เทศบาลนั้นจะกระทำ
(มาตรา ๑๘ ทวิ)
-
ผู้สมัครเป็นนายกเทศมนตรีต้องไม่เป็นผู้ที่พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น
คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น
หรือที่ปรึกษาหรือเลขานุการของผู้บริหารท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่กระทำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ยังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง (มาตรา ๔๘ เบญจ (๓))
-
ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล
ต้องไม่เป็นผู้ที่พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น
คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
รองผู้บริหารท้องถิ่นหรือที่ปรึกษาหรือเลขานุการของผู้บริหารท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ยังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง (มาตรา ๑๕ )
- นายกเทศมนตรี
รองนายกเทศมนตรี ที่ปรึกษานายกเทศมนตรี และเลขานุการนายกเทศมนตรีต้องไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่เทศบาลนั้นเป็นคู่สัญญา
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลนั้น หรือที่เทศบาลนั้นจะกระทำ (มาตรา ๔๘ จตุทศ (๓))
[องค์การบริหารส่วนจังหวัด มีบทบัญญัติทำนองเดียวกัน (มาตรา ๙ มาตรา ๑๑ (๕)
มาตรา ๓๕/๑ (๓) มาตรา ๔๔/๓ แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐)
องค์การบริหารส่วนตำบล มีบทบัญญัติทำนองเดียวกัน (มาตรา ๙ มาตรา ๑๒ มาตรา ๒๔ มาตรา
๔๗ ทวิ มาตรา ๔๗ ตรี มาตรา ๕๘/๑ มาตรา ๖๔/๒
แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗) กรุงเทพมหานคร
(มาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ.๒๕๒๘)
และเมืองพัทยา (มาตรา ๑๘ มาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา
พ.ศ. ๒๕๔๒)]
กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริต บัญญัติไว้ค่อนข้างจะสลับซับซ้อนในมาตรา
๑๐๐ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนี้
มาตรา
๑๐๐ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้
(๑)
เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ
ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(๒) เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ
ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี
(๓) รับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ
หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม
หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
(๔)
เข้าไปมีส่วนได้เสียในฐานะเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา
ตัวแทน พนักงานหรือลูกจ้างในธุรกิจของเอกชนซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม
หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นสังกัดอยู่หรือปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจของเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม หรือประโยชน์ทางราชการ
หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น
เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ
ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง
โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรสดังกล่าว
เป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
บทบัญญัติมาตรา
๑๐๐
ยังต้องนำไปใช้บังคับกับการดำเนินกิจการของผู้ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมาแล้วยังไม่ถึงสองปีด้วย
เว้นแต่การเป็นผู้ถือหุ้นไม่เกินร้อยละห้าของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัทมหาชนจำกัด
ซึ่งมิใช่บริษัทที่เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๐๐ (๒)
ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (มาตรา ๑๐๑)
อย่างไรก็ตาม
มาตรา ๑๐๐ จะไม่นำมาใช้บังคับกับการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม
หรือตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ในบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดที่หน่วยงานของรัฐถือหุ้นหรือเข้าร่วมทุน
(มาตรา ๑๐๒)
แต่ความในวรรคสองของมาตรา
๑๐๐ ที่บัญญัติว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดจะอยู่ภายใต้บังคับมาตรานี้
ต้องทำเป็นประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. นั้น
ต่อมาได้มีประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
เรื่อง
กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามความในมาตรา
๑๐๐ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.๒๕๔๒
พ.ศ.๒๕๔๔ ลงวันที่ ๑๕ กุภาพันธ์ พ.ศ.
๒๕๔๔ (รก.๒๕๔๔/๑๓ก/๑ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔)
กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามความในบทบัญญัติดังกล่าว
ไว้เพียงสองตำแหน่ง คือ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน มีบทบัญญัติห้ามการมีส่วนได้เสียของนักการเมืองไว้เช่นกัน ดังต่อไปนี้
- มาตรา ๑๑๐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้อง
ฯลฯ ฯลฯ
(๒)
ไม่รับสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ
หรือรัฐวิสาหกิจ หรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ
หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ อันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน
หรือเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
บทบัญญัติมาตรา
๑๑๐ ดังกล่าว ให้นำไปใช้กับมาตรา ๑๑๘ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) มาตรา ๑๒๘
(สมาชิกวุฒิสภา) และมาตรา ๒๐๘ (รัฐมนตรี) ด้วย
ข.
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการมีส่วนได้เสีย
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการมีส่วนได้เสีย
อาจแยกออกได้เป็นสามกลุ่ม คือ ๑.
ความเห็นเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจและองค์กรอื่น ๒.
ส่วนได้เสียในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ ๓. ความหมายของการมีส่วนได้เสียตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
ซึ่งมีรายละเอียดแต่ละกลุ่ม ดังนี้
๑.
ความเห็นเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจและองค์กรอื่น
ความหมาย -
การมีส่วนได้เสียในการดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจมีความหมายขอบเขตเพียงใดนั้น
ได้มีการอธิบายในความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๓)
ในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (เรื่องเสร็จที่
๕๒๖/๒๕๔๔) ว่า หมายถึง การมีส่วนได้เสียหรือประโยชน์ได้เสียที่เกี่ยวข้องกับกิจการหลักของรัฐวิสาหกิจนั้นเป็นสำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนได้เสียหรือมีประโยชน์ได้เสียในทางตรง อันได้แก่
การเป็นคู่สัญญาหรือได้รับประโยชน์ในธุรกิจโดยตรงกับรัฐวิสาหกิจ
หรือการมีส่วนได้เสียหรือมีประโยชน์ได้เสียในทางอ้อม อันได้แก่
การมีส่วนได้เสียผ่านบุคคลอื่นหรือใช้วิธีการอื่นใดอันจะกระทำให้เกิดการขัดกันในประโยชน์ได้เสียด้วย
แนววินิจฉัย
๑.๑ การเป็นกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัทที่มีสัญญาธุรกิจต่อกัน
หรือแข่งขันกับกิจการรัฐวิสาหกิจ
- กรรมการบริหารของ อ.ส.ม.ท. คนหนึ่ง
เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทสองบริษัท และบริษัททั้งสองได้มีสัญญาทางธุรกิจกับ
อ.ส.ม.ท. โดยตรงและลงโฆษณาทางโทรทัศน์ในรายการที่ตนเองเป็นผู้ดำเนินรายการ
ถือได้ว่ากรรมการเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับกิจการของบริษัท ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการ
ในความเห็นเรื่องนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจคือ
พระราชกฤษฎีกาฯ ไม่ได้ระบุว่าหากมีส่วนได้เสียแล้วจะให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อใด
จึงต้องถือว่าต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อมีลักษณะต้องห้ามคือวันที่กรรมการผู้นั้น
ได้กระทำธุรกิจกับ อ.ส.ม.ท. ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่เมื่อนั้น
- การจัดและดำเนินรายการวิทยุที่สถานีวิทยุ 1 ปณ.
และสถานีวิทยุกรมการรักษาดินแดน เป็นการแข่งขันกับกิจการของ อ.ส.ม.ท.
ถ้ากรรมการผู้นั้นจัดและดำเนินรายการวิทยุที่สถานีวิทยุดังกล่าว
โดยได้รับประโยชน์ทางตรงหรือทางอ้อมแล้ว ก็ถือได้
เป็นผู้มีส่วนได้เสียในธุรกิจที่เป็นการแข่งขันกับกิจการของ อ.ส.ม.ท.
และเมื่อปรากฏว่า ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการเพราะมีลักษณะต้องห้ามแล้ว
บรรดาเงินค่าเบี้ยประชุมและเงินโบนัสที่ ได้รับในฐานะกรรมการบริหาร อ.ส.ม.ท.
ก็เป็นเงินที่ได้ไปโดยไม่มีอำนาจที่จะรับเป็นการรับโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้
จึงต้องคืนเงินนั้นให้แก่ อ.ส.ม.ท.ในฐานะเป็นลาภมิควรได้
(เรื่องเสร็จที่ ๒๓๕/๒๕๒๔ บันทึก เรื่อง
ขอให้ตีความเกี่ยวกับคุณสมบัติของกรรมการบริหาร อ.ส.ม.ท. )
๑.๒
ผู้ว่าการดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทตามมติของคณะกรรมการ
การทางพิเศษแห่งประเทศไทยแต่งตั้งผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเข้าร่วมเป็นกรรมการในบริษัททางด่วนกรุงเทพ
จำกัด (บีอีซีแอล) การที่ผู้ว่าการจะดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ นี้
ก็เพื่อที่จะได้มีการประสานงานและแก้ไขปัญหาการบริหารโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๒
ให้เสร็จโดยเร็ว หรืออีกนัยหนึ่งการเข้าไปเป็นกรรมการของบริษัทฯ
ก็เพื่อรักษาประโยชน์ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเอง
มิใช่เข้าดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบริษัทฯ เพื่อหวังผลประโยชน์ในฐานะส่วนตัว ฉะนั้น จึงไม่ขัดกับประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๒๙๐ฯ ข้อ ๑๔
และแม้ว่าผู้ว่าการจะเข้าเป็นกรรมการของบริษัทฯ ได้ก็ตาม
แต่การปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการของบริษัทฯ นั้นก็ต้องทำการโดยสุจริตและกระทำในฐานะเป็นผู้รักษาผลประโยชน์ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นประการสำคัญ
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๔/๒๕๓๗ บันทึก เรื่อง
การแต่งตั้งผู้แทนการทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นกรรมการของบริษัททางด่วนกรุงเทพ
จำกัด)
๑.๓
ผู้บริหารนิติบุคคลที่เคยมีธุรกรรมกับรัฐวิสาหกิจ
บุคคลเคยเป็นผู้บริหารในนิติบุคคลซึ่งมีธุรกรรมการจัดซื้อจัดจ้างกับการท่าเรือฯ
และปัจจุบันได้ลาออกจากนิติบุคคลนั้นแล้วแต่ยังไม่ถึงสามปี
ถือว่าอยู่ในข่ายเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๘ ตรี (๑๒) แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๓
(เรื่องเสร็จที่ ๕๒๖/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย)
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎหมายบางฉบับเขียนบทบัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามไว้โดยใช้ถ้อยคำแตกต่างออกไป
การแปลความจึงต้องแล้วแต่ถ้อยคำในกฎหมายที่มีอยู่ด้วย
การร่างกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งบริหารในรัฐวิสาหกิจก็ดี
หรือกฎหมายอื่นใดก็ดี จึงต้องพึงระมัดระวังถ้อยคำที่ใช้ด้วย เช่น
ในพระราชบัญญัติความลับทางการค้า พ.ศ. ๒๕๔๕ ใช้คำว่า ประธานกรรมการและกรรมการต้อง ไม่ดำรงตำแหน่งใด เพื่อความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๘) ในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
ปัญหาข้อหารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการความลับทางการค้า (เรื่องเสร็จที่
๕๑๓/๒๕๔๗) ให้ความเห็นว่า การใช้ถ้อยคำว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด นั้น
หากกฎหมายมิได้ระบุตำแหน่งชัดเจน ก็ย่อมหมายความถึงตำแหน่งทุกประเภทในห้างหุ้นส่วน
บริษัทหรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นประธานกรรมการ กรรมการ ที่ปรึกษา
หุ้นส่วนผู้จัดการ ตัวแทน พนักงาน หรือลูกจ้าง เป็นต้น
ส่วนที่ว่ามีส่วนได้เสียทางตรงหรือทางอ้อมเป็นอย่างไรนั้น พระราชบัญญัตินี้บัญญัติว่า
ประธานกรรมการและกรรมการต้องไม่มีส่วนได้เสียอย่างใดในห้างหุ้นส่วน บริษัท
หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจ เห็นว่า
บทบัญญัติส่วนนี้ประสงค์จะห้ามเฉพาะการมีส่วนได้เสียทางตรงเท่านั้น
เพราะหากกฎหมายประสงค์จะห้ามการมีส่วนได้เสีย ทางอ้อม ด้วยแล้ว ก็จะต้องบัญญัติไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น การที่คู่สมรสหรือบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีส่วนได้เสียในห้างหุ้นส่วน
บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจ
ย่อมไม่มีผลให้ประธานกรรมการและกรรมการเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในห้างหุ้นส่วน
บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด
๒.
ความเห็นเกี่ยวกับการมีส่วนได้เสียในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ความหมาย - ในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง การเป็นผู้มีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญา
(กรณีเทศบาลตำบลวังสะพุง) คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) ได้อธิบายความมุ่งหมายของมาตรา
๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล ฯ
ไว้ว่า
การพิจารณาความมุ่งหมายของมาตรานี้ นอกจากจะพิจารณาว่าในการปฏิบัติตามสัญญานั้นสมาชิกผู้นั้นได้รับประโยชน์โดยตรงหรือไม่แล้ว
ยังต้องพิจารณาว่าสมาชิกผู้นั้นมีความสัมพันธ์กับคู่สัญญา
ในลักษณะที่จะส่งผลดีหรือผลเสียต่อตนในทางอ้อม
อันจะได้ชื่อว่ามีส่วนได้เสียในทางอ้อมหรือไม่ ซึ่งความสัมพันธ์ที่มีอยู่อาจจะเป็น
ดังนี้ (๑) ความสัมพันธ์ในเชิงบริหาร
โดยเป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ ตัวแทน
ผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจในการดำเนินงานในกิจการของบุคคลธรรมดาหรือของนิติบุคคลที่มีการกระทำกับเทศบาล (๒) ความสัมพันธ์ในเชิงทุน
โดยเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วน ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด
หรือผู้ถือหุ้นในบริษัทจำกัดซึ่งสามารถครอบงำการจัดการบริษัทได้ หรือ (๓) ความสัมพันธ์ในระหว่างบุคคล
ซึ่งกฎหมายบัญญัติให้มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูต่อกัน เช่น
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา หรือความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
แนววินิจฉัย
๒.๑ ความสัมพันธ์ในระหว่างบุคคล
สามี - เทศมนตรีเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เป็นหุ้นส่วนห้างฯ
ซึ่งทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาล ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับห้างฯ
โดยทางคู่สมรส
บุตรสาว นายกเทศมนตรีเป็นบุตรสาวของหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของห้างฯ
ซึ่งในฐานะที่เป็นบุตรย่อมมีหน้าที่ตาม ป.ป.พ. มาตรา ๑๕๖๓ (๔)
ที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาทั้งยังมีสิทธิเป็นทายาทโดยชอบตามกฎหมายตามมาตรา
๑๖๒๙(๑)(๕) ดังนั้น
การที่นายกเทศมนตรีได้มอบอำนาจให้นาย ฉ. เทศมนตรี
เข้าทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับห้างฯ จึงเป็นการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา
๑๘ ทวิ เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียทางอ้อมเนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตร
(เรื่องเสร็จที่ ๕๙๖/๒๕๔๔ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม)
๒.๒ การเป็นผู้ถือหุ้น สมาชิกสภาเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด
นาย อ. (สมาชิกสภาเทศบาล) ปรากฏจากหนังสือรับรองการจดทะเบียนห้างฯ
ว่าเป็นผู้ถือหุ้นของห้างฯ และถึงแม้ว่าเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดก็ตาม
แต่การมีส่วนได้ส่วนเสียก็มิได้ต่างจากหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด เพราะตาม
ป.ป.พ. มาตรา ๑๐๘๔ (๒) และมาตรา ๑๐๘๐ (๓) นั้น
หุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิดก็ยังได้ผลประโยชน์จากผลกำไรซึ่งห้างหุ้นส่วนทำมาค้าอยู่ได้
เว้นแต่ห้างหุ้นส่วนยังขาดทุนอยู่
จึงเป็นสมาชิกที่มีส่วนได้เสียกับห้างฯ
(เรื่องเสร็จที่ ๕๙๖/๒๕๔๔ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม)
๒.๓ ไม่มีสถานีบริการน้ำมันใกล้เคียง
ข้อเท็จจริงที่ว่าในบริเวณรัศมี ๑๐ กิโลเมตร
มีสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงของห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. เพียงแห่งเดียว
และการซื้อน้ำมันนี้ได้กระทำมาตั้งแต่เทศบาลยังเป็นสุขาภิบาลอยู่
ซึ่งจังหวัดมีความเห็นว่าบุคคลทั้งสองมิได้มีเจตนาต้องการผลประโยชน์จากเทศบาลตำบลแจ้ห่ม
และมิได้ระวังว่าตนเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
เมื่อดำเนินการแก้ไขแล้วน่าจะยังคงมีสมาชิกภาพต่อไปนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่
๑) เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา ๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ
ประสงค์ที่จะห้ามสมาชิกเข้ามามีประโยชน์ได้เสียกับเทศบาลในขณะดำรงตำแหน่งสมาชิกอยู่
เพื่อให้สมาชิกทำหน้าที่รักษาประโยชน์ของเทศบาลอย่างเที่ยงธรรม
โดยไม่ประสงค์จะให้สมาชิกได้ประโยชน์ใด ๆ จากการเข้าทำสัญญาหรือทำกิจการใดจากเทศบาลไม่ว่าโดยตนเองหรือโดยผ่านทางผู้อื่นในขณะดำรงตำแหน่ง
และมิได้คำนึงว่าจะต้องการผลประโยชน์จากเทศบาลหรือไม่
ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้
และไม่ทำให้การกระทำที่มีส่วนได้เสียไปแล้วกลับกลายเป็นการกระทำที่ชอบขึ้นมาได้
(เรื่องเสร็จที่ ๕๙๖/๒๕๔๔ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม)
๒.๔ นายกเทศมนตรี เป็นกรรมการบริษัทฯ
นาย
ก. นายกเทศมนตรี เป็นกรรมการบริษัทฯ
ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเทศบาลเมืองได้ทำบันทึกตกลงซื้อขาย เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์
๒๕๔๓ ซื้อรถจักรยานยนต์ของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ
ได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์และได้มีการชำระเงินให้แก่บริษัทฯ เรียบร้อยแล้ว
จึงเห็นได้ว่าการซื้อขายรถจักรยานยนต์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว และนายก. ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญา
การที่ในภายหลังบริษัทฯ
ได้ขอยกเลิกสัญญาและคืนเงินให้แก่เทศบาลเมืองย่อมไม่มีผลต่อความสมบูรณ์ของสัญญาแต่อย่างใด
และไม่ทำให้การกระทำอันไม่ชอบตามที่บัญญัติห้ามไว้ในมาตรา ๑๘ ทวิ ของนาย ก. กลับกลายเป็นการชอบขึ้นมาได้
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๕ บริษัทฯ เป็นศูนย์รถยนต์ฯ เพียงแห่งเดียว
นาย ก. นายกเทศมนตรี เป็นกรรมการบริษัทฯ
ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเทศบาลเมืองได้ขออนุมัติจ้างเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๓ เพื่อให้บริษัทฯ
ตรวจเช็คสภาพรถยนต์ และมีหลักฐานการรับเงินจากเทศบาลเมืองลงวันที่ ๗
เมษายน ๒๕๔๓
ทั้งมีหลักฐานเป็นใบตรวจรับพัสดุลงวันที่ ๒๗
มีนาคม ๒๕๔๓ ว่าบริษัท ฯ ได้นำส่งสินค้าและกรรมการตรวจรับพัสดุได้ตรวจรับแล้ว จึงแสดงให้เห็นว่าบริษัทฯ
ได้กระทำกิจการให้แก่เทศบาลเมืองแล้ว
และถือได้ว่านาย ก. ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทฯ
เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมในกิจการที่บริษัทฯ
กระทำให้แก่เทศบาลเมือง ความจำเป็นที่บริษัทฯ เป็นศูนย์รถยนต์ฯ
เพียงแห่งเดียวในจังหวัดหาเป็นเหตุให้เกิดสิทธิที่จะฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา ๑๘ ทวิ
ไม่
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๖ เทศมนตรี เป็นผู้จัดการและเจ้าของโรงพิมพ์
นาย ส. เทศมนตรี เป็นผู้จัดการและเจ้าของโรงพิมพ์
ศ.ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเทศบาลเมืองได้มีการอนุมัติเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๔๓
และเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ให้จัดจ้างโรงพิมพ์ ศ. หนังสือพิมพ์เทศบาลประจำเดือนเมษายน ๒๕๔๓ และพฤษภาคม
๒๕๔๓ แม้ว่าจังหวัดจะได้วินิจฉัยว่ามิได้มีการทำบันทึกตกลงซื้อขายหรือสัญญาระหว่างผู้ว่าจ้างกับผู้รับจ้าง
คำวินิจฉัยดังกล่าวย่อมขัดต่อความเป็นจริง
เพราะปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการจ่ายและรับเงินค่าจ้างพิมพ์หนังสือพิมพ์เทศบาลจากเทศบาลเมือง
และมีการตรวจรับหนังสือพิมพ์เทศบาลแล้ว
จึงแสดงให้เห็นว่าโรงพิมพ์ ศ.ได้ทำสัญญาหรือกิจการให้แก่เทศบาลเมืองแล้ว
นาย ส. ซึ่งเป็นเทศมนตรี เจ้าของและผู้จัดการโรงพิมพ์ ศ.
ย่อมเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมจากการรับพิมพ์หนังสือพิมพ์ให้แก่เทศบาล
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๗ ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีผู้ถือหุ้นเพียงสองคน
นาย ส. เทศมนตรี เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. มีผู้ถือหุ้นเพียง ๒ คน คือ นาย ส. และนาง พ. โดยมีนาง พ.
เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ
เมื่อนายสมชายฯ มีหนังสือลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๓ ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน
จึงมีผลทำให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.เหลือผู้ถือหุ้นเพียง ๑ คน เท่านั้น
ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. จึงไม่อาจคงสภาพการเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดได้อีกต่อไป และมีผลเป็นการเลิกห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยปริยาย
แต่ต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. ยังคงดำเนินกิจการในฐานะห้างหุ้นส่วนจำกัด
โดยได้ทำบันทึกตกลงซื้อขายกับเทศบาลเมืองกำแพงเพชร จำนวน ๔ สัญญา ทั้งนาย ส.
ซึ่งต้องรู้ถึงเหตุที่ห้างหุ้นส่วน ก.
มีอันที่จะต้องเลิกห้างหุ้นส่วนก็ได้ดำเนินการในนามของเทศบาลลงนามในฐานะผู้ซื้อในบันทึกตกลงซื้อขายระหว่างเทศบาล
กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. ตามบันทึกตกลงซื้อขายลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๔๓
ฉบับลงวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๓ และฉบับลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๓ รวม ๓ ฉบับ ด้วย
อันแสดงให้เห็นว่าการลาออกของนายสมชายฯ มิได้ลาออกจริง ห้างหุ้นส่วนจำกัด ก.
จึงสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยมิได้มีผู้เป็นหุ้นส่วนใหม่เข้ามาแทนที่หรือเลิกห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด
พฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่านายสมชายฯ ยังคงเป็นหุ้นส่วนอยู่
และถือได้ว่ามีส่วนได้เสียในทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญากับห้างหุ้นส่วนจำกัด
ก.
(เรื่องเสร็จที่ ๓๙๕/๒๕๔๔ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลเมืองกำแพงเพชร)
๒.๘
อำนาจสอบสวนของผู้ว่าราชการจังหวัด
มาตรา ๑๑ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด
(ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๖
มีเจตนารมณ์ที่จะให้สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดผู้มีส่วนได้เสียกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดในระหว่างที่ตนเป็นสมาชิกอยู่จะต้องสิ้นสุดการเป็นสมาชิกภาพลงโดยผลของกฎหมายตามมาตรานี้ทันที
นับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว และหากมีข้อสงสัย
ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสอบสวนและวินิจฉัยโดยเร็ว
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการกำหนดไว้แตกต่างจากมาตรา ๑๑ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ ก่อนที่จะมีการแก้ไขดังกล่าว ดังนั้น โดยเจตนารมณ์ของการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด
เพราะเหตุที่มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่ตนเป็นสมาชิกนี้
หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ในระหว่างที่สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดดำรงตำแหน่งอยู่มีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น
แม้ว่าต่อมาสมาชิกผู้นั้นจะพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดไปด้วยเหตุใดก็ตาม
ต้องถือว่าผู้นั้นสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่มีเหตุดังกล่าว
โดยหากมีข้อสงสัยผู้ว่าราชการจังหวัดก็สามารถที่จะสอบสวนและวินิจฉัย
เพื่อให้ได้ความว่าผู้นั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียจริงหรือไม่ ทั้งนี้
ไม่ว่าจะมีผู้ใดได้ร้องเรียนไว้แล้วหรือไม่
และผู้นั้นจะยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้นหรือพ้นจากตำแหน่งเพราะลาออก
หรือครบวาระการดำรงตำแหน่งไปก่อนที่จะมีการสอบสวนในเรื่องนี้ก็ตาม
หากสอบสวนได้ความว่าผู้นั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียแล้ว
ผู้นั้นย่อมสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดโดยผลของกฎหมายนับแต่วันที่มีเหตุเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
(เรื่องเสร็จที่ ๒๘๓/๒๕๔๘
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี)
๒.๙ กำหนดวันส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิงตรงกับวันที่ได้รับเลือกตั้ง
สัญญาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปั๊มน้ำมันกับเทศบาลได้ทำไว้ก่อนที่นาย
ท. จะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล คือ ในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕
แต่เมื่อในวันกำหนดส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิงตามที่ได้ทำสัญญาไว้นั้น เป็นวันที่
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันที่นาย ท.
ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล
ซึ่งตามกฎหมายกำหนดให้วันดังกล่าวเป็นวันเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาเทศบาล
จึงมีผลให้นาย ท. เป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับเทศบาล แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่าตั้งแต่วันที่
๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เป็นต้นมา
ปั๊มน้ำมันมิได้จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่เทศบาลอีกแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๕
นาย ท. มีสมาชิกภาพเป็นสมาชิกสภาเทศบาล จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ได้ทำไว้กับเทศบาล
มีผลให้ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพตั้งแต่วันที่มีเหตุดังกล่าวเป็นต้นไป
(เรื่องเสร็จที่ ๒๖๒/๒๕๔๗
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การดำเนินกิจการของคณะเทศมนตรีภายหลังสมาชิกสภาเทศบาลลาออกจากตำแหน่งนายกเทศมนตรี
และการมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล)
๒.๑๐
แจ้งขอจดทะเบียนลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน แต่ลงนามในหนังสือส่งมอบงาน
ในวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๕
ที่นาย ค. ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล มีข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ในวันดังกล่าวนั้น นาย ค. ยังเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด
อ.อยู่ โดยปรากฏหลักฐานเบื้องต้นว่า
มีการแจ้งขอจดทะเบียนลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. เมื่อวันที่ ๘
ตุลาคม ๒๕๔๕
แม้ต่อมาภายหลังจะได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมให้การลาออกมีผลตั้งแต่วันที่ ๔
ตุลาคม ๒๕๔๕ อันเป็นวันก่อนวันเลือกตั้งก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า นาย ค.
ยังได้กระทำการในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดดังกล่าว
โดยเป็นผู้ลงนามในหนังสือส่งมอบงานก่อสร้างถนนให้แก่เทศบาลตำบลหนองกี่เมื่อวันที่
๗ ตุลาคม ๒๕๔๕ ดังนั้น
ในวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ นาย ค. จึงยังคงเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด
อ. กรณีจึงถือได้ว่านาย ค.
สมาชิกสภาเทศบาล
เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่ทำกับเทศบาลตามมาตรา ๑๘
ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ
ซึ่งมีผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๙ (๖) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ แล้ว
(เรื่องเสร็จที่ ๗๘/๒๕๔๗
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับเทศบาลตำบลหนองกี่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์)
๒.๑๑
ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เพื่อสมัครรับเลือกตั้ง
แต่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๔๔ เทศบาลได้ทำสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด
ค. ให้ก่อสร้างสะพาน มีนาย ช. หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ ลงนามในสัญญาดังกล่าว
โดยงานมีกำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๔ ต่อมาเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม
๒๕๔๔ นาย ช. ได้มีหนังสือถึงหุ้นส่วนในห้างฯ ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ
เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาล ซึ่งนาย ช.
ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๔ นาย ช.
จึงไปยื่นต่อนายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสุโขทัย
เพื่อขอเปลี่ยนแปลงให้นาย ม. บิดาของนาย ช. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างฯ แทน
ซึ่งนายทะเบียนได้รับจดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๗๒ บัญญัติให้การเปลี่ยนตัวผู้แทนนิติบุคคลมีผลต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งแล้ว สำหรับผู้แทนของห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นมาตรา ๑๐๔๒
บัญญัติให้ความเกี่ยวพันระหว่างหุ้นส่วนผู้จัดการกับหุ้นส่วนอื่นเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยตัวแทน
ซึ่งเมื่อพิจารณาเทียบเคียงกับมาตรา ๘๒๖ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๘๒๗ วรรคหนึ่ง
เห็นได้ว่าหุ้นส่วนผู้จัดการสามารถลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนในเวลาใดๆ ก็ได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า
นาย ช. ได้แสดงเจตนาลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต่อหุ้นส่วนคนอื่นในวันที่ ๓๑
พฤษภาคม ๒๕๔๔ จึงถือได้ว่าระหว่างหุ้นส่วนด้วยกันเอง การลาออกของนาย ช.
มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๔
อย่างไรก็ตามการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัดต้องมีรายการเกี่ยวกับชื่อของหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นสำคัญตามมาตรา
๑๐๗๘ (๖)
ซึ่งเอกสารที่ลงทะเบียนไว้ดังกล่าวเป็นเอกสารมหาชนที่บุคคลทุกคนสามารถตรวจดูได้ตามมาตรา
๑๐๒๐
และเมื่อลงพิมพ์โฆษณาในราชกิจจานุเบกษาตามมาตรา ๑๐๒๑ แล้วถือได้ว่าเป็นอันรู้แก่บุคคลทั่วไปตามมาตรา
๑๐๒๒ เมื่อใดที่รายการที่ได้จดทะเบียนไว้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็ต้องแก้ไขข้อความที่ได้จดทะเบียนไว้
ณ หอทะเบียนที่ได้จดทะเบียนไว้เดิมตามมาตรา ๑๐๑๖
เพื่อใช้เป็นหลักฐานให้บุคคลทั่วไปทราบถึงสถานะและผู้จัดการปัจจุบันของห้างฯ
และตราบใดที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน นาย ช.
ยังคงต้องรับผิดชอบกับบุคคลภายนอกตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๗๒
ความมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับเทศบาลจึงยังคงมีอยู่ นอกจากนั้นการที่นาย
ช. ลาออก และนาย ม. ซึ่งเป็นบิดาของนาย ช. เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแทนตน
ความมีส่วนได้เสียของนาย ช. จึงยังคงมีอยู่เช่นเดิม
แม้จะได้มีการจดทะเบียนการลาออกแล้วก็ตาม
ดังที่ได้เคยวินิจฉัยไว้แล้วในเรื่องการเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงกับเทศบาลตำบลแจ้ห่ม
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑)
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า การให้ความเห็นในเรื่องนี้เป็นการพิจารณาประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการเป็นผู้มีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๑๘ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ
ซึ่งมีเจตนารมณ์มิให้สมาชิกใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือขณะที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่นั้นมีประโยชน์ได้เสียอยู่กับเทศบาล
สมาชิกจึงมีหน้าที่ต้องกระทำด้วยประการทั้งปวงให้ปรากฏว่าตนมิได้มีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับคู่สัญญาหรือการกระทำกับเทศบาลนั้นต่อไป
ฉะนั้น แม้เพียงการแสดงเจตนาจึงย่อมไม่เพียงพอ
เพราะตราบใดที่ยังไม่ดำเนินการแก้ไขทางทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายบุคคลภายนอกก็ย่อมอ้างอยู่ได้เสมอ
(เรื่องเสร็จที่ ๕๒๖/ ๒๕๔๕
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญาหรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลหรือที่เทศบาลจะกระทำ
(กรณีเทศบาลตำบลบ้านโตนด และเทศบาลตำบลบ้านม่วง))
๒.๑๒ ขอซื้อเอกสารในการสอบราคาและยื่นเอกสารประกวดราคา
ห้างหุ้นส่วนจำกัด บ. มีนาย พ.
สมาชิกสภาเทศบาล
เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ขอซื้อเอกสารในการสอบราคาและยื่นเอกสารประกวดราคากับเทศบาลที่นาย
พ. ดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลอยู่ การเข้ามีส่วนได้เสียตามมาตรา ๑๘ ทวิ ดังกล่าว
มีความหมายถึงการที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดอาจจะได้รับประโยชน์หรือเสียประโยชน์หรือน่าจะได้ประโยชน์หรือน่าจะเสียประโยชน์ในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญาหรือในกิจการที่มีผู้กระทำให้แก่เทศบาลหรือที่เทศบาลจะกระทำด้วย
โดยไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ในทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม การที่ห้างหุ้นส่วนที่มีนาย พ.
เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเข้าซื้อเอกสารในการสอบราคาและยื่นเสนอราคาโครงการจ้างเหมาก็เพื่อจะได้รับประโยชน์จากกิจการที่เทศบาลจะกระทำในโครงการจ้างเหมาก่อสร้าง
ในทันทีที่นาย พ. เข้ายื่นซองประกวดราคา การกระทำจึงเป็นการเข้ามีส่วนได้เสียในกิจการที่เทศบาลจะกระทำสมบูรณ์และเป็นการต้องห้ามตามมาตรา
๑๘ ทวิ และมีผลทำให้สมาชิกภาพในฐานะสมาชิกสภาเทศบาลได้สิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๙ (๖)
แล้ว การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บ.ไม่ได้รับการคัดเลือกในการสอบราคาโครงการจ้างเหมาก่อสร้างรางระบายน้ำของเทศบาลฯ
หามีผลทำให้สมาชิกภาพที่สิ้นสุดลงแล้ว กลับฟื้นขึ้นใหม่ไม่
(เรื่องเสร็จที่ ๕๒๖/ ๒๕๔๕
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของสมาชิกสภาเทศบาลในสัญญาที่เทศบาลเป็นคู่สัญญา
หรือในกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลหรือที่เทศบาลจะกระทำ (กรณีเทศบาลตำบลบ้านโตนด
และเทศบาลตำบลบ้านม่วง))
๒.๑๓
การวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลงตามมาตรา ๑๘ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ เป็นคำสั่งทางปกครองหรือไม่
การวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดลงตามมาตรา
๑๘ ทวิแห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ เป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
นาง ร.
ได้ยื่นหนังสือและเอกสารให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตรวจสอบเพิ่มเติม ถือว่านาง ร.
เป็นคู่กรณี
และการกระทำดังกล่าวเป็นการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
หรือไม่นั้น เห็นว่า ผู้ที่จะเป็น คู่กรณี ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ นั้น
จะต้องเป็นผู้ที่สิทธิของตนถูกกระทบกระเทือนหรืออาจถูกกระทบกระเทือนโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามมาตรา
๒๑ ซึ่ง การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีสอบสวนและวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลนครอุบลราชธานีที่ถูกร้องเรียนทั้งสี่คนไม่ได้สิ้นสุดลงนั้น
มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกสภาเทศบาลที่ถูกร้องเรียนเท่านั้น
มิได้มีผลกระทบต่อประชาชนหรือสมาชิกสภาเทศบาลอื่นรวมทั้งนาง ร. ดังนั้น
จึงไม่อาจถือว่านาง ร. เป็น คู่กรณี
ที่จะอุทธรณ์คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีในเรื่องนี้ได้
การดำเนินการทั้งหลายของผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีจึงมิใช่เป็นการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองตามมาตรา
๔๕ วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
(เรื่องเสร็จที่ ๔๒๘/๒๕๔๔ บันทึกคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองเรื่อง
การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙)
๒.๑๔
สัญญาเสร็จสิ้นแล้วก่อนดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี
นาย ป.
ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. ทำสัญญาจ้างงานกับเทศบาล
โดยดำเนินการตามสัญญาเสร็จสิ้นแล้วก่อนดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี
รวมทั้งปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า นาย ป. ได้ลาออกจากหุ้นส่วนผู้จัดการตั้งแต่วันที่
๑๒ มกราคม ๒๕๔๗ และมีการแก้ไขทางทะเบียนก่อนลงสมัครรับเลือกตั้ง
ความเกี่ยวพันระหว่างนาย ป. กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ป. จึงสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ ๑๒
มกราคม ๒๕๔๗ กรณีจึงถือได้ว่านาย ป.
ไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่ทำกับเทศบาล
ส่วนกรณีที่หุ้นส่วนจะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของสัญญาที่กำหนดระยะเวลาไว้สองปีนั้น
เมื่อนาย ป. ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนและหุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.
แล้ว
จึงไม่มีความเกี่ยวพันกับห้างหุ้นส่วนดังกล่าวที่จะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามสัญญาที่ทำไว้กับห้างหุ้นส่วนเป็นระยะเวลาสองปีนั้นอีก
สำหรับกรณีที่นาย ป.
จะต้องรับผิดชอบในระยะเวลาสองปีนับแต่วันที่ตนลาออกจากห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
๑๐๖๘ เป็นความรับผิดตามกฎหมาย
ซึ่งเป็นคนละลักษณะกับความรับผิดในสัญญาที่ทำกับเทศบาลหรือกิจการที่กระทำให้แก่เทศบาลตามมาตรา
๔๘ จตุทศ (๓)
(เรื่องเสร็จที่ ๑๘/๒๕๔๘ บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การมีส่วนได้เสียของนายกเทศมนตรีตำบลหนองแสง)
๓.
ความเห็นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.
๒๕๔๒
ความหมาย - กรณีตามมาตรา ๑๐๐ (๑) และ (๒)
มีความหมายว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใดมีอำนาจในการกำกับ ดูแล ควบคุมตรวจสอบ
หรือดำเนินคดีสำหรับหน่วยงานใด เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นย่อมต้องห้ามมิให้เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานนั้นตามมาตรา
๑๐๐ (๑)
และจะเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานนั้นตามมาตรา
๑๐๐ (๒) ไม่ได้ด้วย
สำหรับกรณีตามมาตรา ๑๐๐ (๓) นั้น ได้ห้ามการรับสัมปทานหรือคงถือไว้ซึ่งสัมปทานจากรัฐหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐในกิจการอันมีลักษณะเป็นการผูกขาดตัดตอน
โดยไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมหรือเป็นหุ้นส่วนหรือเป็นผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
สำหรับความที่ว่า ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม นั้น
โดยที่บทบัญญัติในเรื่องนี้เป็นการจำกัดสิทธิของบุคคลจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด
และโดยผลเช่นนั้นจึงเห็นว่ามีความหมายถึงการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้รับประโยชน์จากสัมปทานนั้นๆ
โดยตรง หรือโดยผ่านบุคคลอื่น เช่น การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ คู่สมรส
หรือบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะได้เข้ารับสัมปทานหรือเป็นผู้รับสัมปทานโดยตนเอง
ซึ่งถือเป็นทางตรง หรือถือหุ้นในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน
ซึ่งถือหุ้นในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนที่รับสัมปทานอันอาจถูกถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียทางอ้อม
ส่วนกรณีตามมาตรา ๑๐๐ (๔)
อนุมาตรานี้ได้ระบุการทำหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะ ฉะนั้น
กิจการที่จะต้องห้ามกระทำก็แต่เฉพาะการเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา ตัวแทน พนักงาน
หรือลูกจ้างเท่านั้น และจะต้องเป็นธุรกิจที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ควบคุม
หรือตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่
นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาถึงสภาพของผลประโยชน์ด้วยว่า
โดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกิจเอกชนนั้นอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ทางราชการ
หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นหรือไม่
เช่น การดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีอำนาจหน้าที่กำกับ ดูแล ควบคุม
และตรวจสอบธุรกิจของเอกชนอย่างกว้างขวาง
ก็มิได้หมายความว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จะถูกห้ามเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาของธุรกิจเอกชนในทุกกรณี
คงต้องห้ามแต่เฉพาะในกรณีที่สภาพของผลประโยชน์ของกิจการนั้นๆ
อยู่ภายใต้อำนาจหรือดุลพินิจของส่วนราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
หรือรัฐมนตรีอันจะก่อให้เกิดความขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวม
หรือประโยชน์ของทางราชการ หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีเท่านั้น
ข้อหารือ
๓.๑
ข้อหารือของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
๓.๑.๑
กรณีการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ที่ครอบคลุมกิจการของห้างหุ้นส่วนและบริษัทที่ต้องจดทะเบียนและส่งงบดุลนั้น
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และคู่สมรสจะเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทได้เพียงใด
เห็นว่า
การควบคุมห้างหุ้นส่วนและบริษัทในการจดทะเบียนและส่งงบดุลของกระทรวงพาณิชย์นั้น
เป็นอำนาจหน้าที่กำกับดูแลห้างหุ้นส่วนและบริษัทเป็นการทั่วไป โดยมีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนแน่นอน
มิได้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐ
หรือรัฐมนตรีโดยมุ่งถึงความถูกต้องในทางทะเบียนเป็นสำคัญ
ไม่มีอำนาจเกี่ยวกับการอนุญาต การอนุมัติหรือการมีคำสั่งใดๆ
ในกิจการที่ห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทประกอบธุรกิจอยู่ที่อาจเอื้ออำนวยผลประโยชน์ตอบแทนเนื่องจากการประกอบธุรกิจนั้นได้
ทั้งรัฐมนตรีก็มิได้เป็นนายทะเบียนตามกฎหมาย
ซึ่งจะมีอำนาจหน้าที่ในการรับหรือไม่รับจดทะเบียน
การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
ในเรื่องดังกล่าวจึงไม่มีผลที่จะเกิดสภาพผลประโยชน์ทางธุรกิจขัดหรือแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา
๑๐๐ (๔) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
ขึ้นได้ ฉะนั้น
การที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และคู่สมรสเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัท
จึงไม่ขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ในการกำกับดูแลการจดทะเบียนและส่งงบดุลของห้างหุ้นส่วนและบริษัท
แต่อย่างไรก็ตาม
สำหรับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์นั้นอาจยังถูกต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งใดๆ
ดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นอีกได้ เช่น มาตรา ๒๐๘ ของรัฐธรรมนูญ
๓.๑.๒ กรณีประกาศของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ขัดกับหลักกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือไม่
รวมทั้งเป็นการลิดรอนสิทธิของบุคคลในการประกอบอาชีพ
หรือมีความไม่ชัดเจนจนไม่อาจใช้บังคับได้หรือไม่ เห็นว่า ประกาศของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ดังกล่าว ออกตามความในมาตรา ๑๐๐
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
และได้กำหนดเงื่อนไขการห้ามการประกอบอาชีพที่อาจเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมโดยเป็นไปตามมาตรา
๑๐๐ และมาตรา ๑๐๑
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวอันเป็นบทบัญญัติที่จำเป็นต้องตราขึ้นตามที่บัญญัติบังคับไว้ในมาตรา
๓๓๑ (๒) ของรัฐธรรมนูญ
การลิดรอนสิทธิที่เกิดขึ้นจึงเป็นการลิดรอนโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
และการจำกัดสิทธิของบุคคลก็มีขอบเขตห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการในกรณีต่างๆ
ตามที่มาตรา ๑๐๐ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้บัญญัติไว้
ซึ่งมิใช่เป็นการห้ามการประกอบอาชีพใดๆ ทั้งสิ้น
คงห้ามเฉพาะการประกอบอาชีพที่อาจขัดกับผลประโยชน์ส่วนตนและหน้าที่ที่ตนจะต้องปฏิบัติ
๓.๒
ข้อหารือของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือว่า
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ว่าจะประกอบวิชาชีพเวชกรรมหรือดำเนินการสถานพยาบาลต่อไปได้หรือไม่นั้น
ตามแนวทางของต่างประเทศรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องยุติใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของตน
แต่ยอมรับปฏิบัติกันว่าจะต้องยุติการประกอบวิชาชีพนั้นในระหว่างดำรงตำแหน่ง เช่น
แพทย์ หรือนักบัญชี เพื่อเป็นการสละเวลาและความสามารถให้แก่ภารกิจของรัฐ โดยเมื่อพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีระยะเวลาหนึ่งแล้วก็กลับไปประกอบวิชาชีพเดิมได้แต่ตามบทบัญญัติของมาตรา
๑๐๐ และมาตรา ๑๐๑
ไม่ได้ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคู่สมรสที่จะประกอบวิชาชีพส่วนตัว
แต่การดำเนินการสถานพยาบาลนั้นพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑
บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้รักษาการ และมีอำนาจสั่งการใดๆ
เพื่อให้สถานพยาบาลปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติได้
ถ้ารัฐมนตรียังคงมีความสัมพันธ์กับสถานพยาบาลนั้นอยู่โดยเป็นกรรมการ ที่ปรึกษา
ตัวแทน พนักงาน หรือลูกจ้างด้วยแล้วย่อมมีส่วนได้เสียในกิจการของสถานพยาบาลซึ่งรัฐมนตรีมีอำนาจกำกับ
ดูแล ควบคุมหรือตรวจสอบตามกฎหมาย
สภาพของผลประโยชน์ในสถานพยาบาลของรัฐมนตรีอาจขัดหรือแย้งต่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์ทางราชการ
หรือกระทบต่อความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ แต่การต้องห้ามตามมาตรา ๑๐๐ (๔)
นั้นจะต้องปรากฏว่ารัฐมนตรีเป็นผู้กำกับดูแลสถานพยาบาลด้วย ฉะนั้น
ถ้ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขมิได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลงานของสถานพยาบาลย่อมจะไม่มีอำนาจใด
ๆ ที่จะสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา ๑๐๐ (๔)
ซึ่งรวมทั้งกรณีที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาจจำเป็นต้องรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในบางครั้งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขไม่อยู่
ถ้าในระยะเวลานั้นมิได้มีการสั่งการใด ๆ
เกี่ยวกับสถานพยาบาลก็ยังไม่ถือว่าอยู่ในบังคับของมาตรา ๑๐๐ (๔) ด้วย
๓.๓
ข้อหารือของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
๓.๓.๑ กรมบังคับคดีมีหน้าที่ในการบังคับคดีแพ่ง
คดีล้มละลายและคดีฟื้นฟูกิจการจะถือว่าเป็นการกำกับ ดูแล ควบคุม
หรือตรวจสอบธุรกิจเอกชนใด เห็นว่า
อำนาจหน้าที่ของกรมบังคับคดีเป็นการดำเนินการเพื่อบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล
อันเป็นหน้าที่ทั่วไปที่จะต้องปฏิบัติทั้งกรณีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
โดยมิได้เจาะจงควบคุมหรือกำกับเฉพาะการประกอบธุรกิจลักษณะใด
การปฏิบัติงานของกรมบังคับคดีจึงมิได้เป็นหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจกำกับ ดูแล
ควบคุมหรือตรวจสอบธุรกิจของเอกชนใดโดยตรง ตามความหมายของมาตรา ๑๐๐ (๔) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
๓.๓.๒
หากกระทรวงยุติธรรมจะตั้งหน่วยงานสอบสวนคดีอาญาบางประเภท เช่น
คดีอาชญากรรมเศรษฐกิจ จะถือว่าเป็นการกำกับ ดูแล
ควบคุมหรือตรวจสอบธุรกิจเอกชนใดตามความในมาตรา ๑๐๐ (๔) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
หรือไม่ เห็นว่า
ถ้าหน่วยงานของกระทรวงยุติธรรมที่จะจัดตั้งขึ้นมีหน้าที่เพียงแต่สอบสวนคดีอาญาที่เกิดขึ้นเป็นกรณีทั่วไป
โดยมิได้กำหนดให้ธุรกิจเอกชนในลักษณะใดโดยเฉพาะต้องอยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล
ควบคุมหรือตรวจสอบของหน่วยงานนั้น
หน่วยงานดังกล่าวย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องเฉพาะในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาตามกฎหมายกับทุกกรณีที่มีการกระทำความผิด
โดยมิได้มีหน้าที่กำกับหรือควบคุมธุรกิจเอกชนรายใดตามความหมายของมาตรา ๑๐๐ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
๓.๓.๑ กรณีที่คู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐดำรงตำแหน่งใดๆ
ตามมาตรา ๑๐๐ (๔) หรือกระทำการตามมาตรา ๑๐๐ (๑) และ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
อยู่ก่อนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ารับตำแหน่งคู่สมรสจะต้องห้ามมิให้กระทำการดังกล่าวเมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ารับตำแหน่งหรือไม่
เห็นว่า มาตรา ๑๐๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ
ได้บัญญัติไว้แล้วว่า ข้อห้ามการกระทำต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๑๐๐ (๑)
(๒) (๓) และ (๔) ให้นำมาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย ฉะนั้น
เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดถูกกำหนดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามกระทำการตามมาตรา
๑๐๐ ก็จะมีผลไปถึงคู่สมรสที่ต้องยุติหรือไม่กระทำกิจการไปพร้อมกันด้วย
แม้ว่ากิจการนั้นจะได้กระทำอยู่ก่อนเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้ารับตำแหน่งก็ตาม
ในการให้ความเห็นเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมของรัฐมนตรีนี้
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) มีข้อสังเกตว่า บทบัญญัติมาตรา ๑๐๐
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ
บัญญัติไว้อย่างกว้างๆ การจะวินิจฉัยว่าการใดต้องห้ามหรือไม่
เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป แต่ผลของมาตรา ๑๐๐
กระทบต่อการดำรงชีวิตโดยสุจริตทั้งของเจ้าหน้าที่ของรัฐ คู่สมรส
และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ทั้งยังผูกพันต่อไปภายหลังเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วเป็นเวลาถึงสองปี การกระทำใดที่ผิดพลาดมีผลร้ายทั้งต่อการดำรงตำแหน่งและการถูกดำเนินคดีอาญาและมีโทษ ฉะนั้น
จึงสมควรที่จะให้มีการปรับปรุงกฎหมาย
เพื่อกำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอทราบความเห็นจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ได้ว่าจำเป็นต้องหยุดกระทำกิจการที่เกี่ยวข้องหรือไม่ หากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่าสามารถกระทำต่อไปได้
การกระทำนั้นก็จะไม่ถือเป็นความผิด และถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ช.
จะมีความเห็นเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นในภายหลังจะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นทราบเพื่อให้โอกาสแก้ไขเสียก่อน
เพื่อที่จะไม่ต้องเสี่ยงภัยต่อการได้รับผลร้ายในภายหลัง
(เรื่องเสร็จที่ ๓๖๘/๒๕๔๔
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เรื่อง
กำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามความในมาตรา ๑๐๐
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.
๒๕๔๒ พ.ศ. ๒๕๔๔)
บทสรุป
เมื่อพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่า
ตัวบทกฎหมายเองได้บัญญัติไว้โดยมีถ้อยคำที่แตกต่างกัน
และกฎหมายได้เพิ่มความขึ้นเรื่อยๆ
ความเห็นในเรื่องนี้จึงแตกต่างกันไปแล้วแต่กฎหมาย
และจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆ ไป ดังเช่นข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา
คณะที่ ๑ ในเรื่อง ป.ป.ช. ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นซ้ำบ่อยๆ ก็มีได้ ดังเช่น
กรณีความเห็นเกี่ยวกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะเกิดซ้ำๆ กัน
และในการพิจารณานั้น จะเห็นได้ว่า การเป็นผู้มีส่วนได้เสียนั้น ไม่ได้มีความหมายโดยตนเอง
แต่อย่างไรเป็นผู้มีส่วนได้เสีย
จะต้องพิจารณาจากกิจกรรมและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องประกอบกันไปด้วย เช่น
กฎหมายเกี่ยวกับหุ้นส่วนบริษัท กฎหมายครอบครัว
ซึ่งก็คือพิจารณาความสัมพันธ์ในทางบุคคล ความสัมพันธ์ในการบริหาร
และความสัมพันธ์ในเชิงทุนนั่นเอง