หน้าหลัก > ข่าวสารและผลงาน> บทความทางกฎหมาย
ข้อขัดข้องการบังคับใช้มาตรฐานบรรษัทภิบาลของชาติตะวันตกในเอเชีย (เกียรติก้อง กิจการเจริญดี)

ข้อขัดข้องการบังคับใช้มาตรฐานบรรษัทภิบาลของชาติตะวันตกในเอเชีย

ข้อขัดข้องการบังคับใช้มาตรฐานบรรษัทภิบาลของชาติตะวันตกในเอเชีย*

 

บทนำ

 

บรรษัทภิบาล (Corporate governance) เป็นเรื่องภายในองค์กรที่เกี่ยวกับการดำเนินการและการควบคุมการดำเนินการภายในของบริษัท ในความเข้าใจอย่างง่าย บรรษัทภิบาล คือ การทำสิ่งที่ถูกต้อง (doing the right thing) เพื่อให้การรับรองว่าคณะผู้บริหารและกรรมการบริหารของบริษัทต้องมีความรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น

แนวความคิดของหลักบรรษัทภิบาลเริ่มต้นพัฒนาขึ้น เมื่อปี ค.ศ. 1962 ในฐานะที่เป็นแนวทางการวางหลักประกันต่อผู้ลงทุนในบริษัทว่าจะได้รับปันผลกำไรจากการลงทุนอย่างเป็นธรรมโดยกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อป้องกันการบริหารงานโดยไม่ชอบ (management abuse) หรือ การนำเงินทุนของบริษัทไปใช้โดยเปล่าประโยชน์ (poor use of their investment capital)  ทั้งนี้ การรู้ความเป็นมาของคำว่า “การควบคุม” (governance) จะทำให้เข้าใจเรื่องบรรษัทภิบาลได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนาย Farrar อธิบายว่า ความหมายเชิงนิรุกติศาสตร์ของถ้อยคำดังกล่าวมักใช้การอุปมาอุปไมยกับแนวคิดเรื่องการถือท้ายเรือ (steering) หรือการควบคุมเรือ (captaining a ship) คำว่า “ผู้ควบคุม” (governor) มาจากภาษาลาติน คำว่า “gubernare” หมายความถึง กัปตันเรือ และคำว่า “governance” มาจากภาษาฝรั่งเศส คำว่า “gouvernance” หมายความถึง การควบคุมและการปกครอง

ความหมายที่ชัดเจน ตรงประเด็นและเข้าใจกันทั่วไป คำว่า “บรรษัทภิบาล” (Corporate governance) หมายความถึง การควบคุมบริษัทและความไว้เนื้อเชื่อใจที่ผู้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลบริษัทพึ่งจะต้องมี

นาย Farrar กล่าวเพิ่มเติมต่อไปว่า “บรรษัทภิบาลมีความหมายไปไกลกว่าสิทธิหน้าที่ที่กำหนดโดยกฎหมาย ซึ่งเราจะไม่พิจารณาเฉพาะแต่เพียงการควบคุมโดยกฎหมายเท่านั้น แต่พิจารณาถึงการควบคุมทางข้อเท็จจริง (de facto control) ของบริษัทด้วย นอกจากนี้ เราพิจารณาเรื่องความรับผิดชอบด้วย ซึ่งไม่ใช่กำหนดในกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องสร้างระบบที่สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นเอง (systems of self-regulations) และ จารีตทางปฏิบัติ (norms) ที่เรียกได้ว่า “ทางปฏิบัติที่ดีที่สุด” (best practice) ด้วย”

เหตุใดบรรษัทภิบาลที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ? การตัดสินใจในการลงทุนคือสาระสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดระดับหลักการพื้นฐานของบรรษัทภิบาลที่ดี ความสัมพันธ์ระหว่างบรรษัทภิบาลที่ดีและการลงทุนเป็นการสร้างความมั่นใจที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจลงทุน

ส่วนหนึ่งของรายงานในปี ค.ศ. 1990 แสดงให้เห็นถึงการประกอบการของบริษัทที่อื้อฉาวจำนวนมาก ก่อให้เกิดการวิจารณ์สภาวะฝืดเคืองทางการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก วิกฤตการณ์ของประเทศในทวีปเอเชียในรายงานปี ค.ศ. 1990 เปิดเผยถึงความไม่เพียงพอของกลไกการบริหารแบบบรรษัทภิบาลในบริษัทจำนวนมาก ซึ่งเกิดจากปัญหาการเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เพียงพอ ความไม่โปร่งใส การควบคุมการบริหารงานของกรรมการบริษัทที่ล้มเหลว ความอ่อนแอของกฎหมาย  โครงสร้างการผูกขาดของตลาด ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่มีสูงมากเกินไป และการกู้ยืมเงินเกินขนาด สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยทำให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจซึ่งบ่งชี้ในรายงานการศึกษาภาวะวิกฤตเศรษฐกิจหลายฉบับ หลายประเทศได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียบ่งชี้ว่าปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจเกิดจากความอ่อนแอของหลักบรรษัทภิบาล โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ความไร้ประสิทธิภาพของคณะกรรมการบริหารบริษัท ความอ่อนแอของการควบคุมภายในบริษัท การขาดการตรวจสอบทางบัญชี ขาดการเปิดเผยข้อมูลบริษัทที่เพียงพอ และขาดความเข้มงวดในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับหลักบรรษัทภิบาลในหลายประเทศของเอเชีย สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดบริษัทที่อื้อฉาวขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องแก้ไขเพื่อฟื้นฟูความมั่นใจของนักลงทุนและขจัดพฤติกรรมที่ไม่ซื่อสัตย์ในการบริหารบริษัทออกไป

ในปัจจุบันวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในเอเชียและที่ใดก็ตามเป็นสิ่งสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องสร้างความโปร่งใสและความรับผิดชอบขึ้นภายในบริษัท  ทั้งนี้ การที่ประเทศในเอเชียขาดโครงสร้างการบริหารแบบบรรษัทภิบาลเป็นสาเหตุให้มีการศึกษาและนำเอาระบบการบริหารบริษัทแบบตะวันตกมาใช้ นอกจากนี้ การจูงใจนักลงทุนชาวตะวันตกให้มาลงทุนในประเทศของตนเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องนำรูปแบบการบริหารจากประเทศตะวันตกมาใช้

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Cooperation and Development, OECD) พัฒนาหลักบรรษัทภิบาลโดยมีพื้นฐานจากกฎหมายและหลักทางจริยธรรมของชาติตะวันตก หน่วยงานภาคเอกชนสามารถนำเอาหลักการดังกล่าวไปใช้เพื่อพัฒนาการบริหารให้เกิดระบบบรรษัทภิบาลและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดภายในบริษัท องค์กรดังกล่าวมีความประสงค์ให้ประเทศต่างๆ สามารถเข้าถึงและนำหลักการดังกล่าวไปใช้โดยไม่มีการบังคับ และจะไม่มีการกำหนดรายละเอียดเพื่อบัญญัติเป็นกฎหมายภายใน แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำหลักการดังกล่าวไปใช้อ้างอิงในการบัญญัติกฎหมาย

ในส่วนแรกของบทความนี้ จะกล่าวถึงการนำหลักการของ OECD ไปใช้บังคับในประเทศเอเชีย 4 ประเทศ คือ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี ประเทศจีน และประเทศสิงค์โปร์ โดยจะกล่าวถึงใน 3 ประเด็น คือ (1) เรื่องการเปิดเผยข้อมูลที่เหมาะสม (2) ความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริหาร และ (3) ความเป็นอิสระของผู้บริหาร รวมถึงการวิเคราะห์ความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียและประเทศในตะวันตก และข้อขัดข้องการนำหลักบรรษัทภิบาลของประเทศตะวันตกไปใช้  ในส่วนที่สองของบทความจะกล่าวถึง อุปสรรคของการนำหลักบรรษัทภิบาลไปใช้ในประเทศที่มีความแตกต่างของระดับเศรษฐกิจและการพัฒนากฎหมาย และอะไรคือปัจจัยทางวัฒนธรรมที่อาจมีผลกระทบต่อการนำหลักบรรษัทภิบาลของ OECD ไปใช้ในประเทศเอเชีย

 

การนำหลักการของ OECD ไปใช้

 

1. การเปิดเผยข้อมูลและความโปร่งใส

การเปิดเผยข้อมูลที่เหมาะสมและโปร่งใสมีผลต่อพฤติกรรมของบริษัท การคุ้มครองผู้ลงทุน และการดึงดูดเงินลงทุน  นอกจากนี้ ยังเป็นการรักษาความเชื่อมั่นของบริษัทในตลาดทุน แต่หากไม่มีการเปิดเผยข้อมูลที่เพียงพอหรือไม่ชัดเจนอาจเป็นอุปสรรคต่อกลไกของตลาดทุนได้ ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลบริษัทที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมของตลาดและมาตรฐานทางจริยธรรมจะช่วยให้สาธารณชนเข้าใจโครงสร้างและการดำเนินการของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น

ความไม่สมดุลในการรับรู้ข้อมูล (information asymmetry) เกิดขึ้นเมื่อผู้บริหารของบริษัทรู้ข้อมูลบางประการของบริษัทในขณะที่ผู้ลงทุนไม่รู้ หากความไม่สมดุลของการรับรู้ข้อมูลมีมากย่อมทำให้ผู้ลงทุนไม่เชื่อถือในบริษัทมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จะต้องมีการทำข้อตกลงให้ผู้บริหารต้องแจ้งข้อมูลที่ตนรับรู้ วัตถุประสงค์ของการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเพื่อให้เกิดความมั่นใจกับผู้ลงทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนรู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน

ตามหลักการข้อที่ 4 ของ OECD แนวทางของบรรษัทภิบาลต้องกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนในการเปิดข้อมูลของบริษัท สถานะทางการเงิน การชำระหนี้ ทรัพย์สินของบริษัท การบริหารบริษัท ข้อมูลทางการเงินและผลประกอบการของบริษัท วัตถุประสงค์ของบริษัท สมาชิกในคณะกรรมการบริหาร ผู้บริหารสำคัญ โครงสร้างการบริหาร ตลอดจนนโยบายของบริษัท ข้อมูลดังกล่าวจะต้องถูกตระเตรียม ตรวจสอบ และต้องเปิดเผยตามมาตรฐานระดับสูงในเรื่องทางบัญชี การตรวจสอบบัญชี รวมถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน  นอกจากนี้ กำหนดให้การเผยแพร่ข้อมูลของบริษัทต้องดำเนินการอย่างเป็นธรรม ตรงตามกำหนดเวลา และกำหนดค่าใช้จ่ายการเข้าถึงข้อมูลให้คุ้มกับต้นทุนการดำเนินการ

ประเทศญี่ปุ่นรับเอาหลักบรรษัทภิบาลในเรื่องดังกล่าวไปใช้ โดยกำหนดให้ CEO ต้องเปิดเผยข้อมูลของบริษัทตามวาระปกติ หรือกรณีที่จำเป็นเพื่อแสดงให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน พนักงานของบริษัท ลูกค้า และชุมชนต่างๆ ทราบถึงข้อมูลการประกอบกิจการของบริษัท โดยต้องดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ซึ่งในประเทศเกาหลี และจีน กำหนดไว้เช่นเดียวกัน  ดังนั้น หลักการบรรษัทภิบาลดังกล่าวจึงเป็นการส่งเสริมให้มีการเปิดเผยข้อมูลที่เหมาะสม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเข้าถึงข้อมูลให้กับผู้เกี่ยวข้อง และป้องกันการกระทำที่ไม่เป็นธรรม

มีข้อสังเกตว่าประเทศเกาหลีและประเทศจีนกำหนดรายละเอียดในบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลมากกว่าประเทศญี่ปุ่น ภายใต้หลักการของ OECD ดังกล่าว การเปิดเผยข้อมูลของบริษัทมีเนื้อหารวมถึงข้อมูลทางการเงินและผลประกอบการของบริษัท ประเทศญี่ปุ่นกำหนดให้ CEO ต้องพยายามเปิดเผยข้อมูลที่มีผลกระทบกับราคาหุ้นของบริษัทโดยเร็วเพื่อแสดงให้เห็นว่าราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตามในประเทศจีนและเกาหลีมีข้อกำหนดเพิ่มเติมตามหลักการและคำแนะนำของ OECD เช่น การเปิดเผยชื่อสมาชิกของคณะกรรมการบริหารบริษัท ผู้บริหารสำคัญ และค่าตอบแทนของบุคคลดังกล่าว โดยกฎหมายของประเทศเกาหลีกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับคณะผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท และระบบค่าตอบแทนของกรรมการ ผู้ตรวจสอบบัญชี ผู้บริหาร และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่วนในประเทศจีนกำหนดให้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทในเครือ โครงสร้างของคณะกรรมการบริหาร และคณะกรรมการตรวจสอบ บทบัญญัติดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการของ OECD ซึ่งกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลของสมาชิกคณะกรรมการบริหาร ในเรื่องคุณสมบัติ กระบวนการสรรหา การดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการบริษัทอื่น และความเป็นอิสระในการบริหารงานของบริษัท

 

2. ความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริษัท

คณะกรรมการบริหารของบริษัท (the board of director) คือ ศูนย์กลางของบริษัท และคำสั่งในการบริหารงานของคณะกรรมการบริหารบริษัทถือเป็นที่สุด คณะกรรมการบริหารมีความรับผิดชอบอย่างสูงในการควบคุมดูแลการบริหาร เพื่อให้เกิดกำไรจากการประกอบการปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างเพียงพอในขณะที่ต้องควบคุมดุลยภาพการแข่งขันภายในบริษัทและป้องกันผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งหลักการข้อที่ 5 ของ OECD ยอมรับโครงสร้างและการดำเนินงานของคณะกรรมการบริษัทที่หลากหลายแตกต่างกันในแต่ละประเทศ (ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละประเทศจะเลือกใช้ระบบใด) อย่างไรก็ตาม โครงสร้างของคณะกรรมการบริษัท ภายใต้กรอบของหลักบรรษัทภิบาล คณะกรรมการบริษัทจะต้องมีประสิทธิภาพในการกำกับดูแลการบริหารงานภายในบริษัท และมีความรับผิดชอบต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ เพื่อเป็นการยืนยันว่าคณะกรรมการบริษัทมีความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ คณะกรรมการจะต้องเป็นอิสระจากการบริหาร โดยจะมุ่งพิจารณาผลประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง (stakeholders) อาทิ พนักงาน เจ้าหนี้ ลูกค้า ผู้ส่งสินค้า และชุมชน เป็นสำคัญ

นอกจากนี้ หลักการของ OECD แสดงไว้อย่างชัดแจ้งว่า กรรมการแต่ละคนจะต้องกระทำการโดยความยินยอมชัดแจ้งจากคณะกรรมการ มีความสุจริต กระทำการโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายกับบุคคลอื่น และปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวัง เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและบรรดาผู้ถือหุ้น คณะกรรมการบริษัทจะต้องสามารถตัดสินให้ดำเนินการในกิจการของบริษัทโดยเป็นอิสระจากการบริหาร

มีข้อสังเกตว่าในประเทศเกาหลี และประเทศจีนกำหนดรายละเอียดความรับผิดชอบของคณะกรรมการบริษัท ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นและสิงค์โปร์ไม่ได้กำหนดไว้ กล่าวได้ว่าทั้งสองประเทศนำคำแนะนำของ OECD ในเรื่องรายละเอียดและหน้าที่ของคณะกรรมการไปบัญญัติไว้ในกฎหมายของตน เช่น การกำหนดให้คณะกรรมการต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเป็นธรรม ระมัดระวัง และซื่อสัตย์เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัทและผู้ถือหุ้น เป็นต้น

กฎหมายของประเทศเกาหลี กำหนดให้กรรมการบริษัทจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น โดยห้ามมิให้ใช้อำนาจบริหารเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือบุคคลที่สาม และถือประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้นมาก่อนประโยชน์ของตน  ในประเทศจีน กรรมการบริษัทจะต้องฝึกอบรมอย่างจริงจังเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสิทธิ พันธกรณีและหน้าที่ของกรรมการบริษัท เพื่อให้คุ้นเคยกับการปฏิบัติหน้าที่กรรมการบริษัทซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ  และความรู้ที่จำเป็นสำหรับการเป็นกรรมการบริษัท ข้อกำหนดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประเทศจีนคาดหวังกับการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการบริษัทไว้สูง ซึ่งกรรมการบริษัทมีความรับผิดชอบกับมติที่ออกมาโดยละเมิดต่อกฎหมาย มีความรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่ากรรมการบริษัทได้แสดงการคัดค้านซึ่งได้บันทึกไว้ในรายงานการประชุม

 

3. ความเป็นอิสระของกรรมการบริษัท

ความเป็นอิสระที่เพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการบริษัทตามกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญ  ทั้งนี้ ความเป็นอิสระถือเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่จะประกันว่ากรรมการบริษัทจะสามารถปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ได้อย่างเต็มที่ เสียงส่วนใหญ่ของกรรมการเปรียบเสมือนมติของคณะกรรมการซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นอิสระในการใช้สิทธิออกเสียงของกรรมการแต่ละคน

ตามคำแนะนำของ OECD ความเป็นอิสระของคณะกรรมการบริษัทเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ตามหลักบรรษัทภิบาล ในคณะกรรมการควรมีกรรมการที่ไม่ถูกว่าจ้างจากบริษัทและไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัทหรือการบริหารกิจการของบริษัท คณะกรรมการควรพิจารณาแต่งตั้งกรรมการที่ไม่มีหน้าที่บริหารในจำนวนที่เพียงพอเพื่อให้อำนาจในการวินิจฉัยตัดสินในเรื่องที่เกี่ยวกับความขัดแย้งหรือผลประโยชน์ของบริษัท ยิ่งกว่านี้ กรรมการอิสระสามารถให้หลักประกันกับผู้ลงทุนว่าจะเป็นผู้ปกป้องผลประโยชน์ให้กับผู้ลงทุนได้

ภายใต้หลักบรรษัทภิบาลของประเทศญี่ปุ่น กรรมการบริษัทต้องประกอบด้วยบุคคลที่ไม่ได้ทำหน้าที่บริหาร (outside director) และผู้ที่ทำหน้าที่บริหาร (director) โดยจำนวนของกรรมการผู้ที่ไม่ได้ทำหน้าที่บริหารควรมากกว่าผู้ที่ทำหน้าที่บริหาร เช่นเดียวกับประเทศเกาหลีกำหนดให้กรรมการบริษัทประกอบด้วยบุคคลที่ไม่ได้ทำหน้าที่บริหารซึ่งต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตรวจสอบและให้คำแนะนำเรื่องการเงิน และกิจการขนาดใหญ่ของบริษัทมหาชน มีการกำหนดให้ค่อยๆ เพิ่มจำนวนของกรรมการจากภายนอกขึ้นจนเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด (ต้องมีกรรมการซึ่งเป็นบุคคลภายนอกอย่างน้อย 3 คน) ทั้งนี้ แนวทางของประเทศญี่ปุ่นและประเทศเกาหลีไม่ได้กำหนดเรื่องนี้ไว้อย่างเคร่งครัดนัก ในขณะที่ประมวลกฎหมายของประเทศสิงคโปร์กำหนดให้กรรมการต้องมีความเข้มแข็งและเป็นอิสระ ซึ่งกรรมการอิสระต้องมีจำนวนอย่างน้อย 1 ใน 3 ของคณะกรรมการบริษัท

ในประเทศจีนได้กำหนดรายชื่อบริษัทสำคัญที่จะต้องมีกรรมการอิสระภายในคณะกรรมการบริหารของบริษัทโดยให้เป็นไปตามข้อบังคับ การปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตเป็นสิ่งที่พึงคาดหวัง จึงกำหนดให้มีกรรมการอิสระที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมายต่อบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งปวง กรรมการอิสระดังกล่าวจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างจริงจังตามกฎหมาย กฎ และข้อบังคับของบริษัท และจักต้องคุ้มครองผลประโยชน์ทั้งมวลของบริษัทและผู้ถือหุ้นข้างน้อย  อย่างไรก็ตาม กฎหมายของประเทศจีนไม่ได้กำหนดจำนวนของกรรมการอิสระไว้ในประมวลหลักบรรษัทภิบาลของตน

 

ข้อขัดข้องในการใช้บังคับมาตรฐานบรรษัทภิบาลของชาติตะวันตก

ประมวลหลักบรรษัทภิบาล ในประเทศเอเชียส่วนใหญ่มีหลักการเหมือนกับมาตรฐานบรรษัทภิบาลของ OECD (หรือ มาตรฐานบรรษัทภิบาลของชาติตะวันตก) อย่างไรก็ตาม การนำหลักบรรษัทภิบาลซึ่งมีที่มาจากประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของตลาดทุนของชาติตะวันตกไปใช้ในหลายประเทศของเอเชียยังคงล้มเหลว  เนื่องจากหลายประเทศในอาเซียนมีลักษณะ “ตลาดแบบประเทศกำลังพัฒนา” (emerging markets)[1]

เหตุผลที่เป็นไปได้ว่าทำให้เกิดข้อขัดข้องในการใช้บังคับมาตรฐานบรรษัทภิบาลของชาติตะวันตกในเอเชียมีหลายประการ อาทิ การมีสัดส่วนของสมาชิกในครอบครัวที่มีอำนาจควบคุมบริษัทสูง การเมืองและอิทธิพลของรัฐ การขาดความสนใจดูแลของผู้ถือหุ้น และ ประสิทธิภาพที่ไม่เพียงพอของระบบการฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งบ่งชี้ถึงสาเหตุแห่งความล้มเหลวดังกล่าว สาเหตุดังกล่าวปรากฏในรายงานการศึกษา โดยขออธิบายตามลำดับ ดังต่อไปนี้

 

1. ธุรกิจครอบครัว (Large Family Control)

จากการศึกษาของ Classens, Djankov และ Lang ในบริษัทจำนวน 2,980 แห่ง ใน 9 ประเทศ ของเอเชียตะวันออก (ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน และไทย) พบว่า มีบริษัทที่มีการบริหารโดยสมาชิกครอบครัวมากกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทในเอเชียตะวันออก ตามรายงานสรุปกล่าวว่า

“ในประเทศต่างๆ เหล่านี้ อำนาจควบคุมสูงสุดของบริษัทอยู่ที่ครอบครัวเล็กๆ เพียงไม่กี่ครอบครัว ครอบครัวที่ใหญ่ที่สุด 10 ครอบครัวในประเทศฮ่องกงและประเทศเกาหลีควบคุมบริษัทในตลาดถึง 1 ใน 3 ส่วน”

เหตุแห่งการควบคุมบริษัทโดยสมาชิกในครอบครัวอาจไม่สามารถกล่าวได้ว่าไม่ถูกต้องตามมาตรฐานบรรษัทภิบาลเสียทีเดียว เนื่องจาก ขนบธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบกันมานั้น ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลบริษัทให้กับผู้ถือหุ้นโดยทั่วไปเท่ากับเจ้าของบริษัท บริษัทมักไม่มีผู้ถือหุ้นภายนอกมากนัก และโดยปกติแล้วคณะกรรมการบริหารบริษัทประกอบด้วยสมาชิกในครอบครัว ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปกติที่ผู้ถือหุ้นทราบกันอยู่ทั่วไป ทั้งนี้ การแต่งตั้งกรรมการบริษัทจากภายนอกยังไม่เกิดประโยชน์เนื่องจากในทางข้อเท็จจริงผลประโยชน์ตอบแทนของกรรมการบริษัทกำหนดโดยผู้ถือหุ้นไว้เรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ไม่มีกรรมการบริษัทจากบุคคลภายนอกที่จะควบคุมการออกคำสั่งและการบริหารของผู้บริหาร

นอกจากนี้ เป็นที่ทราบกันว่าบริษัทของครอบครัวในเอเชียมีลักษณะเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคล 4 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ถือหุ้น ฝ่ายนักภาษี ฝ่ายธนาคาร และฝ่ายบุคคลในครอบครัว

 

2. อิทธิพลของรัฐ (State Influence)

นอกเหนือจากการที่บริษัทส่วนใหญ่ควบคุมโดยครอบครัวแล้ว รัฐถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีน ซึ่งธนาคารโลก และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการร่วมมือทางการเงิน (International Finance Corporation) วิจารณ์ว่า

“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (local government) มีความรับผิดชอบที่จะคัดเลือกบริษัทเพื่อจัดทำรายชื่อบริษัท  ดังนั้น บริษัทซึ่งอยู่ในรายชื่อบริษัทของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศจีนเป็นบริษัทที่มีผู้ลงซื้อขายหุ้นมากที่สุด  และมีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น”

ดังนั้น รัฐบาลของจีนยังคงมีบทบาทในการควบคุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ของหุ้นสองประเภทที่ไม่สามารถซื้อขายได้[2] คือ หุ้นของรัฐ (state shares) และหุ้นของนิติบุคคล (legal person shares) ซึ่งสะท้อนถึงการควบคุมบริษัทโดยรัฐบาลอันเป็นสาเหตุให้เกิดความอ่อนแอในการใช้บังคับหลักบรรษัทภิบาลภายในบริษัทเหล่านี้

 

3. การขาดความกระตือรือร้นของผู้ถือหุ้นและความไร้ประสิทธิภาพในการดำเนินคดี

ชาวเอเชียมีวิถีชีวิตแบบประสานประโยชน์ ไม่นิยมฟ้องคดี ส่งผลให้บริษัทที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นเจ้าของบริษัทจำนวนมากที่ผู้บริหารบริษัทมีสายสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้น จึงแทบจะหาผู้ถือหุ้นที่ฟ้องร้องเพื่อดำเนินคดีกับผู้บริหารบริษัทที่ตนเป็นผู้แต่งตั้งในความผิดเกี่ยวกับการประพฤติมิชอบหรือการกระทำผิดต่อหน้าที่ของผู้บริหารบริษัทไม่ได้

การขาดความกระตือรือร้นของผู้ถือหุ้นยังเกิดจากลักษณะของตลาดแบบประเทศกำลังพัฒนา (emerging markets) ที่มีประวัติศาสตร์การพัฒนาการที่ไม่ยาวนานนักและขาดสถาบันการลงทุน (institutional investors)  ดังนั้น ผู้บริหารในประเทศเอเชียจึงมีความกดดันในการบริหารน้อยกว่าผู้บริหารในประเทศตะวันตก  นอกจากนี้ ผู้ถือหุ้นในประเทศตะวันตกจะมีความกระตือรือร้นติดตามการบริหารบริษัทของผู้บริหาร และไม่เกรงใจที่จะให้สิทธิลงคะแนนถอดถอนหรือลงโทษผู้บริหารบริษัท

 

บทสรุป

บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของประเทศในทวีปเอเชียในการนำมาตรฐานหลักบรรษัทภิบาลไปปรับใช้กับประเทศของตน ปัญหาดังกล่าวเกิดจากข้อเท็จจริงบางประการที่ทำให้ไม่พร้อมที่จะถือหลักนิติธรรม (rule of law) แต่กลับยังคงถือหลักตัวบุคคล (rule of man) เป็นสำคัญ ในขณะที่กฎหมายและระเบียบต่างๆ ไม่ได้นำมาใช้บังคับอย่างเหมาะสม

ในประเด็นดังกล่าวนี้ Claessens, Djankov และ Lang[3] ร่วมกันทำวิจัยเกี่ยวกับระบบการฟ้องร้องดำเนินคดีของประเทศในทวีปเอเชีย ซึ่งปรากฏผลการวิจัยดังนี้

 

ประเทศ

ความเข้มข้นของธุรกิจครอบครัว

ประสิทธิภาพของระบบการฟ้องร้องดำเนินคดี

หลักนิติธรรม

การทุจริต

ฮ่องกง

34.4

10.00

8.22

8.52

อินโดนีเซีย

61.7

2.50

3.98

2.15

ญี่ปุ่น

2.8

10.00

8.98

8.52

เกาหลี

38.4

6.00

5.35

5.30

มาเลเซีย

28.3

9.00

6.78

7.38

ฟิลิปปินส์

55.1

4.75

2.73

2.92

สิงคโปร์

29.9

10.00

8.57

8.22

ไต้หวัน

20.1

6.75

8.52

6.85

ไทย

53.5

3.25

6.25

5.18

 

ผลการศึกษาวิจัยดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าบางประเทศในทวีปเอเชียมีอัตราคะแนนเรื่องประสิทธิภาพของระบบการฟ้องร้องดำเนินคดี และหลักนิติธรรมอยู่ในระดับสูง (ฮ่องกง, ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) แต่ในอีกหลายประเทศยังไม่เป็นเช่นนั้น

หลายประเทศในทวีปเอเชียนำเอาหลักมาตรฐานบรรษัทภิบาลของประเทศตะวันตกไปปรับใช้เพื่อจะเพิ่มขีดความสามารถทางการตลาดของตลาดทุนให้ยกระดับไปสู่ตลาดโลก อย่างไรก็ตาม การนำหลักการดังกล่าวไปปรับใช้ยังคงเป็นเรื่องยากตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นในบทความนี้ ความสำเร็จในการนำหลักการดังกล่าวไปใช้นั้น บริษัทต่างๆ ในเอเชียจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง โดยเปลี่ยนจากบริษัทที่ควบคุมโดยสมาชิกในครอบครัวหรือรัฐมาเป็นบริษัทที่ควบคุมโดยผู้ถือหุ้น (institutional shareholders) นอกจากนี้ ต้องเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมปฏิบัติบางประการที่จำเป็นที่เกี่ยวพันกับการฟ้องร้องคดี โดยสนับสนุนให้ผู้ถือหุ้นมีความกระตือรือร้นที่จะใช้สิทธิทางศาลเพื่อดำเนินคดีกับผู้บริหารบริษัทที่ประพฤติมิชอบต่อบริษัท การปรับปรุงมาตรการหรือกลไกการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตามการเอื้ออำนวยให้นำหลักบรรษัทภิบาลของชาติตะวันตกไปใช้อย่างเหมาะสมในเอเชีย ยังเป็นที่สงสัยว่าหากประเทศในเอเชียสามารถนำเอาหลักการดังกล่าวไปใช้ได้สำเร็จแล้ว อาจเกิดคำถามที่ตามมาอันไม่อาจคาดหมายได้และอาจไม่พึงปรารถนาว่าเอเชียจะกลายเป็นอาณานิคม (colony) ของชาติตะวันตกหรือไม่



* ที่มา Arsalidou, Demetra and Wang, Margaret,  Difficulties with Enforcing Western Standards of Corporate Governance in Asia,  European Business Law Review,  Vol. 16, 2(2005),  p.329-340.

  แปลและเรียบเรียงโดย นายเกียรติก้อง  กิจการเจริญดี  นิติกร 4  ศูนย์ข้อมูลกฎหมายกลาง  สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

[1] วิเคราะห์และจัดประเภทตลาดโดยธนาคารเพื่อการพัฒนาของประเทศสิงคโปร์

[2] หุ้นของรัฐ คือ หุ้นที่ถือโดยรัฐบาลกลางหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนหุ้นของนิติบุคคล คือ หุ้นที่ถือโดยสถาบันภายในประเทศ อาทิ บรรษัทอุตสาหกรรม บริษัทหลักทรัพย์ ทรัสต์ และบรรษัททุนวิสาหกิจ กองทุน มูลนิธิ ธนาคาร บริษัทเกี่ยวกับการก่อสร้างและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเกี่ยวกับการขนส่ง พลังงาน และเทคโนโลยี และสถาบันวิจัย

[3] Claessens et al ‘Who Controls East Asian Corporations? The World Bank and the University of Chicago’ <http://wb-cu.car.chula.ac.th/papers/corgov/wps2054.pdf37> (18 Feb 2004).

1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52 53 54 55 56 57

ร่างกฏหมายที่น่าสนใจ
ความเห็นทางกฎหมายที่น่าสนใจ 
งานวิจัย
บทความทางกฎหมาย
บุคลากร
จัดซื้อ / จัดจ้าง
กฤษฎีกาสาร  
ข่าวประชาสัมพันธ์
สำนักกฎหมายปกครอง
  
บริการอื่น ๆ
เสนอแนะ - ติชมเว็บไซต์



สำหรับทำให้ IE เปิดไฟล์ TIFF ได้
© สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๔๕ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา  
เว็บไซต์นี้เหมาะสำหรับจอภาพขนาด 1,024 x 768 พิกเซล