ปัญหาบางประการเกี่ยวกับการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายปกครอง
สะเทื้อน ชูสกุล
ความเป็นมา
แต่เดิมมาก่อนที่จะมีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นในประเทศไทย
คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งรวมเรียกว่าฝ่ายปกครอง ล้วนตกอยู่ภายใต้อำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมทั้งสิ้น
และก็ดูจะเป็นเรื่องปกติที่ฝ่ายผู้เสียหายจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองจะต้องฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาลเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายปกครองเสมอ
และแม้ว่าฝ่ายปกครองจะแพ้คดีในศาลชั้นต้น ผู้เสียหายก็ยังต้องรอจนกว่าคดีจะถึงที่สุดในศาลชั้นสูงขึ้นไป
ทำให้ต้องเสียเวลามากยิ่งขึ้นไปอีกจากแนวปฏิบัติที่ฝ่ายปกครองวางเอาไว้
ส่วนคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและวินิจฉัยข้อพิพาททางปกครองตามพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา
พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น แต่เนื่องจากพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่าให้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์มีอำนาจกำหนดค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองและเสนอแนะต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อสั่งการให้มีการจ่ายเงินของรัฐเป็นค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว
จึงทำให้แต่เดิมมาคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์จะไม่พิจารณาประเด็นเกี่ยวกับการขอให้กำหนดค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครอง
ด้วยเห็นว่าอาจจะเป็นการกระทำที่เกินอำนาจที่กฎหมายให้ไว้
ความพยายามในการแก้ไขปัญหา
ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ ขึ้นใช้บังคับ
และได้มีการกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
โดยได้บัญญัติไว้ในในมาตรา ๑๑
ให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองมีสิทธิยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น
เพื่อให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้
และหน่วยงานดังกล่าวต้องพิจารณาคำขอนั้นให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน
หากไม่สามารถพิจารณาได้ทันจะต้องรายงานรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อขอขยายระยะเวลาออกไปได้อีกไม่เกิน
๑๘๐ วัน ซึ่งมีผลให้ผู้เสียหายได้รับการแก้ไขเยียวยาเร็วยิ่งขึ้น
และลดภาระในด้านคดีความลงทั้งในด้านของผู้เสียหายและฝ่ายปกครอง
เป็นการสร้างความเป็นธรรมแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และเมื่อหน่วยงานของรัฐมีคำสั่งเช่นใดแล้ว
หากผู้เสียหายยังไม่พอใจ
มาตรานี้ก็ให้ผู้เสียหายมีสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ต่อไปได้ภายใน
๙๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการวินิจฉัย
เพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยในประเด็นที่ผู้เสียหายขอให้มีการกำหนดค่าสินไหมทดแทนได้ นอกจากนี้แล้ว
มาตรา ๑๔
แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ก็ยังได้รองรับให้ข้อโต้แย้งเช่นว่านี้เป็นคดีปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองที่จะมีการจัดตั้งขึ้นในภายหลังอีกด้วย
โดยบัญญัติไว้ว่า เมื่อได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นแล้ว
สิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๑
ให้ถือว่าเป็นสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
และโดยนัยนี้
ก็จะมีผลให้องค์กรวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาททางปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับการกำหนดค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองในทุกกรณี
อนึ่ง
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๑
ดังกล่าว ที่ว่า ในกรณีที่ผู้เสียหายเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดตามมาตรา
๕
ผู้เสียหายจะยื่นคำขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดแก่ตนก็ได้.. ก็จะเห็นได้ว่า มาตรา ๑๑
ไม่ได้เป็นบทบัญญัติที่บังคับให้ผู้เสียหายต้องกระทำในการเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครอง
มาตรานี้เป็นเพียงการให้ทางเลือกแก่ผู้เสียหายเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมตามปกติเท่านั้น
ผู้เสียหายจะเลือกใช้สิทธิยื่นคำขอต่อฝ่ายปกครองตามมาตรา ๑๑ นี้ ก็ได้
หรือไม่เลือกใช้สิทธิดังกล่าวแต่เลือกที่จะใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมเป็นคดีแพ่งในมูลละเมิดไปเสียเลยทีเดียว
ก็ได้อีกเช่นกัน เนื่องจากการใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม
ผู้เสียหายสามารถดำเนินการได้ทันทีตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โดยไม่ต้องยื่นคำขอให้ฝ่ายปกครองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเสียก่อนแต่อย่างใด บทบัญญัติในมาตรา ๑๑
นี้จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้เป็นกฎหมายที่กำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายที่ผู้เสียหายจะต้องกระทำก่อนการใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองแต่อย่างใด
เทียบเคียงกับกรณีของการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมายกำหนดให้การอุทธรณ์เป็นขั้นตอนที่จะต้องกระทำเสมอก่อนการยื่นฟ้องคดีเพื่อเรียกค่าทดแทนเพิ่มขึ้น
โดยกำหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยื่นอุทธรณ์ภายใน ๖๐
วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งให้ไปรับเงินค่าทดแทน ทั้งนี้ ตามมาตรา ๒๕
และมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ แต่ในด้านของฝ่ายปกครองนั้น
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติในตอนต่อไปในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๑
ดังกล่าว ที่ว่า ในการนี้
หน่วยงานของรัฐต้อง...พิจารณาคำขอนั้นโดยไม่ชักช้า....
ประกอบกับบทบัญญัติในวรรคสองของมาตราเดียวกัน ที่ว่า ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาคำขอที่ได้รับตามวรรคหนึ่งให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน.... ก็เห็นได้ว่า มาตรา ๑๑
เป็นกฎหมายที่กำหนดหน้าที่ให้แก่ฝ่ายปกครองและบังคับให้ฝ่ายปกครองต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นด้วย
กล่าวคือ หากผู้เสียหายมีคำขอให้ฝ่ายปกครองชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ฝ่ายปกครองจะต้องรับและรีบพิจารณาคำขอนั้นโดยไม่ชักช้า
โดยปกติจะต้องให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วัน
จะนิ่งเฉยหรือปฏิเสธการพิจารณาคำขอเช่นนั้นไม่ได้
อย่างไรก็ดี
มีข้อสังเกตด้วยว่ามาตรา ๑๑
นี้ไม่ได้กำหนดระยะเวลาสำหรับการที่ผู้เสียหายจะยื่นคำขอต่อฝ่ายปกครองเอาไว้
และไม่ได้กำหนดอายุความสำหรับการใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดขึ้นใหม่
เพราะหากต้องการกำหนดอายุความขึ้นใหม่ก็ควรจะบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดดังเช่นกรณีตามวรรคสองของมาตรา
๑๐
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ที่บัญญัติให้อายุความการใช้สิทธิเรียกร้องของหน่วยงานของรัฐที่มีต่อเจ้าหน้าที่มีกำหนด
๒
ปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
หรือมีกำหนด ๑ ปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐมีคำสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
อีกทั้งการยื่นคำขอต่อฝ่ายปกครองตามมาตรา ๑๑
ดังกล่าวก็ไม่มีผลทางกฎหมายที่จะทำให้อายุความที่ล่วงไปแล้วนั้นสะดุดหยุดอยู่หรือสะดุดหยุดลง
ดังนั้น หากอายุความสำหรับการใช้สิทธิเรียกร้องขาดลงแล้ว
ฝ่ายปกครองก็สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และปฏิเสธการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้ตามปกติ
ปัญหาใหม่
:
การจำแนกประเภทการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครอง
ครั้นต่อมาก็ได้มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒
ให้เป็นองค์กรตุลาการที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาททางปกครองหรือคดีปกครองแทนคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์
และยุบเลิกคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ไปในคราวเดียวกันตามความในมาตรา
๘ แห่งพระราชบัญญัติคณะกรรมการกฤษฎีกา
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๓) ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของฝ่ายปกครองที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น
หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
และมาตรา ๑๐๖
ได้บัญญัติให้ถือว่าสิทธิร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ตามมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
ในคดีที่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
เป็นสิทธิฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรม
ผลแห่งการนี้ ทำให้คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองถูกจำแนกออกเป็น
๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทแรก เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ซึ่งได้แก่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย
หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
เรียกว่า ละเมิดทางปกครอง ส่วนประเภทที่สอง
คือคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ซึ่งได้แก่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดในกรณีอื่นๆที่ไม่เข้าลักษณะเป็นการกระทำละเมิดในกรณีแรก
เรียกว่า ละเมิดทางแพ่ง
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการการจำแนกประเภทคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองออกเป็นสองประเภทดังกล่าว และจนถึงขณะนี้
ก็ยังมีข้อโต้แย้งหรือถกเถียงเกิดขึ้นเสมอว่าการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองในกรณีใดกรณีหนึ่งนั้น
เป็นการกระทำละเมิดทางปกครองหรือละเมิดทางแพ่ง
และคดีพิพาทในกรณีดังกล่าวจะอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาของศาลใด
ระหว่างศาลปกครองกับศาลยุติธรรม
ในส่วนของการกระทำละเมิดอันเกิดจากการออกกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น นั้น
ไม่สู้จะเป็นปัญหาหรือมีข้อถกเถียงในการจำแนกประเภทของการกระทำละเมิดมากนัก
เนื่องจากลักษณะของการกระทำที่เป็นเหตุให้เกิดการละมิดขึ้นนั้นสามารถแยกแยะได้ค่อนข้างชัดเจน
กล่าวคือ หากฝ่ายปกครองออกกฎ
(โปรดพิจารณาประกอบกับบทนิยามคำว่ากฎในมาตรา
๓
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ) หรือออกคำสั่งทางปกครอง(โปรดพิจารณาประกอบกับบทนิยามคำว่าคำสั่งทางปกครอง
และคำว่า เจ้าหน้าที่ในมาตรา
๕
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙) หรือออกคำสั่งอื่นใด
แล้วก่อให้เกิดการละเมิดขึ้นแก่บุคคลใดๆ กรณีเช่นนี้ย่อมเป็นละเมิดทางปกครองและศาลปกครองย่อมเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาเหนือข้อพิพาทดังกล่าว หรือในกรณีที่เป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
ก็สามารถแยกแยะได้โดยไม่ยุงยากมากนัก กล่าวคือ
หากมีกฎหมายกำหนดให้ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในเรื่องใด
แต่ฝ่ายปกครองละเลยต่อหน้าที่นั้น หรือปฏิบัติหน้าที่นั้นล่าช้าเกินสมควร
แล้วก่อให้เกิดละเมิดขึ้นแก่บุคคลใดๆ
กรณีเช่นนี้ย่อมเป็นละเมิดทางปกครองและศาลปกครองย่อมเป็นศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาเหนือข้อพิพาทดังกล่าว
อย่างไรก็ดี
ในกรณีการกระทำละเมิดอันเกิดจากการที่ฝ่ายปกครองละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรนี้
มีข้อสังเกตในเบื้องต้นว่า เนื่องจากภารกิจของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐในการจัดทำบริการสาธารณะมีอยู่มากมาย
แต่ด้วยข้อจำกัดในหลาย ๆ ด้าน
ไม่ว่าจะเป็นอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ งบประมาณ ทรัพยากรและเครื่องมือต่างๆ หรือระบบบริหารจัดการ
ทำให้หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถสอดส่องดูแลกิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตนให้ทั่วถึงได้ในทุกกรณี
ความรับผิดในผลแห่งละเมิดของหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐจึงต้องจำกัดอยู่แต่เฉพาะในกรณีที่สาเหตุของการเกิดละเมิดขึ้นเป็นผลโดยตรงจากการละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรเท่านั้น หากไม่ใช่ผลโดยตรงแล้ว
จะถือเป็นละเมิดที่เกิดจากการละเลยต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควรไม่ได้ ตัวอย่างเช่น
ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกนิรภัยหรือผู้ขับขี่รถยนต์ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตายเช่นนี้จะนำกรณีมาฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคดีละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่เนื่องจากไม่จับกุมหรือกวดขันให้ผู้ขับขี่สวมหมวกนิรภัยหรือคาดเข็มขัดนิรภัยไม่ได้ หรือจะฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นคดีละเมิดอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่เนื่องจากไม่กำกับดูแลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการจับกุมและกวดขันในเรื่องดังกล่าวก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่า
สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุนั้นไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ
กับการที่ไม่ถูกจับกุมเพราะไม่สวมหมวกนิรภัยหรือไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
สำหรับการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของฝ่ายปกครอง
เป็นกรณีที่ค่อนข้างมีปัญหาในการจำแนกแยกแยะว่ากรณีใดจะเป็นละเมิดทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
และกรณีใดเป็นละเมิดทางแพ่งที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม เนื่องจากตามหลักกฎหมายปกครองนั้น
การที่ฝ่ายปกครองจะกระทำการใด ๆ ล้วนแต่ต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ทั้งสิ้น ซึ่งหากจะพิจารณาแต่เพียงจากหลักกฎหมายนี้
ก็จะมีผลให้คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองเป็นละเมิดทางปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองไปทุกกรณี
การตีความเช่นนี้แม้จะมีผลดีในด้านของการแก้ไขปัญหาความสับสนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาล
แต่ก็เห็นได้ว่าเป็นการตีความที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายตามมาตรา ๙ ประกอบกับมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
อย่างแจ้งชัด ดังที่กล่าวมาข้างต้น
จึงมีปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปว่าการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจในกรณีเช่นใดที่เป็นละเมิดทางปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
และกรณีใดเป็นละเมิดทางแพ่งที่อยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
เมื่อพิจารณาจากลักษณะในการใช้อำนาจของฝ่ายปกครองซึ่งเป็นผู้กระทำการแทนรัฐแล้ว จะแบ่งประเภทตามลักษณะของอำนาจออกได้เป็น
๒ ประเภทด้วยกัน ได้แก่ (๑) อำนาจสำหรับการปฏิบัติการทางปกครองโดยทั่วไป และ (๒) อำนาจบังคับการเหนือบุคคลอื่น
(๑)
อำนาจสำหรับการปฏิบัติการทางปกครองโดยทั่วไป
อำนาจในประเภทนี้เป็นอำนาจที่กฎหมายให้ไว้แก่ฝ่ายปกครองเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในการจัดทำบริการสาธารณะที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของตนให้สำเร็จลุล่วงไปตามภาระหน้าที่ ซึ่งโดยปกติของการใช้อำนาจในประเภทนี้
กฎหมายที่ให้อำนาจไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะให้ฝ่ายปกครองก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์หรือสร้างภาระหน้าที่ตามกฎหมายขึ้นแก่บุคคลอื่นโดยเฉพาะเจาะจงลงไป
รวมทั้งไม่มีการบังคับให้ฝ่ายเอกชนต้องกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดเพื่อประโยชน์ในการใช้อำนาจนี้ด้วย
เพียงแต่มุ่งต่อการก่อให้เกิดหรือรักษาประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ ตัวอย่างเช่น
อำนาจของการรถไฟแห่งประเทศไทยในการให้บริการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารโดยทางรถไฟ
อำนาจของการประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคในการผลิตน้ำสะอาดเพื่อจำหน่ายแก่ประชาชน อำนาจขององค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทยในการผลิตและจำหน่ายน้ำนม
อำนาจของกรมทางหลวงในการดูแลรักษาทางหลวงและสะพานหรืออำนาจของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในการดูแลรักษาทางพิเศษให้อยู่ในสภาพที่ดีเหมาะสมแก่การใช้งาน อำนาจของเทศบาลในการจัดเก็บขยะมูลฝอย
อำนาจของกรุงเทพมหานครในการดูแลรักษาที่สาธารณะบริเวณสนามหลวง เป็นต้น
อนึ่ง
กรณีอาจเป็นไปได้ว่าในบางครั้งการใช้อำนาจในการจัดทำบริการสาธารณะเช่นนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบแก่บุคคลอื่นอยู่บ้าง
เช่น
การปิดสนามหลวงทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นการชั่วคราวเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมแก่การใช้เป็นที่สาธารณะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทั่วไป
ทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าใช้ประโยชน์ในบริเวณนั้นได้ตามปกติ
หรือการปิดสะพานบางส่วนเพื่อทำการซ่อมแซมส่วนที่ชำรุดให้กลับคืนสู่สภาพที่ดี
ทำให้การจราจรในบริเวณนั้นติดขัด หรือการรื้อสะพานเดิมที่ชำรุดทรุดโทรมแล้วเพื่อสร้างสะพานขึ้นใหม่แทน
ทำให้ผู้ที่ต้องใช้เส้นทางนี้ต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นซึ่งเสียเวลาในการเดินทางและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น
หรือการปิดการจราจรในทางหลวงบางส่วนเพื่อทำทางลอดหรือทางข้าม
แต่จะเห็นได้ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อการรักษาประโยชน์ของผู้ได้รับผลกระทบนั้นเองและประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญ
และเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นตามสภาพและความจำเป็นของเรื่อง
ไม่ใช่ผลที่จะได้รับตามวัตถุประสงค์หลักของกฎหมายที่ให้อำนาจในเรื่องดังกล่าว
ผลกระทบเช่นนี้จึงไม่ถือเป็นการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนั้น
ในการจัดทำหรือให้บริการสาธารณะตามอำนาจในประเภทแรกนี้ กรณีก็อาจมีการกระทำละเมิดแก่บุคคลอื่นเกิดขึ้นได้ เช่น
รถเก็บขนขยะของเทศบาลเฉี่ยวชนกับรถยนต์อื่น
หรือเครื่องมือเครื่องจักรของกรมทางหลวงที่ใช้ในการทำทางลอดทางข้ามเกิดกระทบกระแทกกับรถยนต์ที่แล่นผ่านไปมา
ทำให้รถยนต์นั้นๆ ได้รับความเสียหาย
แต่การกระทำละเมิดดังกล่าวนั้นไม่ใช่ผลโดยตรงของการใช้อำนาจตามกฎหมายในประเภทนี้
เนื่องจากผลโดยตรงย่อมได้แก่บริการสาธารณะที่จัดทำขึ้นตามกฎหมายในเรื่องนั้นๆ
(การเก็บขนขยะ การทำทางลอดหรือทางข้าม ฯลฯ) ละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงผลข้างเคียง
(ที่ไม่พึงประสงค์) ของการจัดทำบริการสาธารณะ
และไม่ได้อยู่ในกรอบของวัตถุประสงค์ตามกฎหมายที่ให้อำนาจในการจัดทำบริการสาธารณะในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด
เมื่อละเมิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ผลโดยตรงของการใช้อำนาจตามกฎหมายในประเภทนี้ และไม่ได้มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่เหนือฝ่ายเอกชนเป็นองค์ประกอบในการก่อให้เกิดการกระทำละเมิดดังกล่าวรวมอยู่ด้วย กรณีจึงเป็นการกระทำละเมิดโดยที่ฝ่ายปกครองไม่ได้มีฐานะทางกฎหมายที่สูงไปกว่าฝ่ายเอกชนที่ถูกกระทำละเมิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นการกระทำละเมิดในระหว่างบุคคลที่มีฐานะทางกฎหมายเท่าเทียมกัน
ความรับผิดของฝ่ายปกครองในกรณีนี้จึงเป็นความรับผิดเกี่ยวกับการกระทำละเมิดทางแพ่งตามหลักกฎหมายว่าด้วยละเมิดในทางแพ่งโดยทั่วไป
คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดดังกล่าวจึงอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมซึ่งใช้หลักกฎหมายแพ่งและวิธีพิจารณาความแพ่งในการพิจารณาและวินิจฉัยคดี
ไม่ใช่ศาลปกครอง
(๒)
อำนาจบังคับการเหนือบุคคลอื่น
อำนาจในประเภทนี้เป็นอำนาจที่กฎหมายให้ไว้แก่ฝ่ายปกครองเพื่อดำเนินการกับบุคคลอื่นให้ต้องได้รับผลทางกฎหมายอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะเจาะจงลงไปตามที่กฎหมายในเรื่องนั้นกำหนดไว้
อันมีลักษณะเป็นอำนาจของรัฐที่มีอยู่เหนือเอกชน
และผู้ที่อยู่ในบังคับของการใช้อำนาจประเภทนี้จะต้องได้รับผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์หรือรับภาระหน้าที่อย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมายนั้นเสมอ
ตัวอย่างเช่น
อำนาจของเจ้าหน้าที่เวนคืนในการเข้าไปสำรวจที่ดินที่อยู่ในแนวเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน อำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการดำเนินการรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อำนาจของผู้อำนวยการทางหลวงในการรื้อถอน
ทำลาย หรือขนย้ายสิ่งที่ติดตั้ง แขวน วาง
หรือกองอยู่ในเขตทางหลวงในลักษณะที่เป็นการกีดขวางหรืออาจเป็นอันตรายแก่ยานพาหนะ
หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางหลวง เป็นต้น
ซึ่งเป็นอำนาจของรัฐที่มีอยู่เหนือฝ่ายเอกชนในทำนองเดียวกับอำนาจในการออกกฎ การออกคำสั่งทางปกครอง
หรือการออกคำสั่งอื่นใดเพื่อบังคับให้เอกชนต้องกระทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด
และเป็นอำนาจที่มีอยู่แต่เฉพาะฝ่ายรัฐเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ในกรณีที่มีการกระทำละเมิดเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจในประเภทนี้ เช่น เจ้าพนักงานท้องถิ่นเข้าจัดการรื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้วก่อให้เกิดความเสียหายแก่อาคารในส่วนที่ก่อสร้างโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย การกระทำละเมิดดังกล่าวย่อมเป็นผลโดยตรงของการใช้อำนาจตามกฎหมายในเรื่องนั้น
โดยมีเงื่อนไขเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่เหนือฝ่ายเอกชนเป็นองค์ประกอบในการกระทำละเมิดรวมอยู่ด้วย
กรณีจึงเป็นการกระทำละเมิดโดยที่ฝ่ายปกครองมีฐานะทางกฎหมายที่สูงกว่าฝ่ายเอกชน
เนื่องจากมีอำนาจตามกฎหมายที่จะดำเนินการในเรื่องนั้นกับฝ่ายเอกชนได้
ไม่ได้เป็นการกระทำละเมิดในระหว่างบุคคลที่มีฐานะทางกฎหมายเท่าเทียมกันแต่อย่างใด
ความรับผิดของฝ่ายปกครองในกรณีนี้จึงเป็นความรับผิดเกี่ยวกับการกระทำละเมิดทางปกครองตามหลักกฎหมายว่าด้วยละเมิดในทางปกครอง
และคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดดังกล่าวจึงอยู่ในเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองซึ่งใช้หลักกฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองในการพิจารณาวินิจฉัยคดี ไม่ใช่ศาลยุติธรรม
ระยะเวลาและเงื่อนไขสำหรับการฟ้องคดีละเมิดทางปกครอง
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๑
ให้การฟ้องคดีละเมิดทางปกครองต้องกระทำภายใน ๑
ปีนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี แต่ไม่เกิน ๑๐
ปีนับแต่วันที่มีเหตุแห่งการฟ้องคดี
ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับระยะเวลาสำหรับการใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๔๔๘
วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดขาดอายุความเมื่อพ้นกำหนด
๑
ปีนับแต่วันที่ผู้ต้องเสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน
หรือเมื่อพ้น ๑๐ ปีนับแต่วันทำละเมิด นอกจากนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
ยังได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๒
วรรคสอง ว่า
ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ
การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว
และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้นหรือมิได้สั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนด และได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๐
ด้วยว่า คำสั่งใดที่อาจฟ้องต่อศาลปกครองได้
ให้ผู้ออกคำสั่งระบุวิธีการยื่นคำฟ้องและระยะเวลาสำหรับการยื่นคำฟ้องไว้ในคำสั่งดังกล่าวด้วย
หากปรากฏในภายหลังว่ามิได้ระบุเช่นนั้น ก็ให้ผู้ออกคำสั่งแจ้งให้ผู้รับคำสั่งทราบโดยไม่ชักช้า
และให้ระยะเวลาสำหรับการยื่นคำฟ้องเริ่มนับใหม่นับแต่วันที่ผู้รับคำสั่งได้รับแจ้ง
แต่หากไม่มีการแจ้งใหม่ และระยะเวลาสำหรับการยื่นคำฟ้องมีกำหนดน้อยกว่า ๑ ปี
ก็ให้ขยายเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องเป็น ๑ ปีนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง กรณีจึงมีข้อที่ต้องพิจารณาด้วยว่า
การยื่นคำขอและคำสั่งของฝ่ายปกครองตามมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ
เป็นขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหาย และเป็นคำสั่งที่จะต้องระบุวิธีการกับระยะเวลาสำหรับยื่นคำฟ้องต่อศาลปกครองไว้ด้วย
ตามนัยมาตรา ๔๒
วรรคสอง และมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ นั้นหรือไม่
ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่า
การยื่นคำขอต่อฝ่ายปกครองมาตรา ๑๑
ดังกล่าวไม่ได้เป็นขั้นตอนหรือวิธีการตามกฎหมายที่ผู้เสียหายถูกบังคับให้ต้องปฏิบัติก่อนการยื่นฟ้องฝ่ายปกครองเป็นคดีละเมิด
(ทั้งทางแพ่งและทางปกครอง) ต่อศาลยุติธรรม
ซึ่งในปัจจุบันที่มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นแล้ว
การฟ้องคดีละเมิดทางแพ่งอันเกิดจากการกระทำของฝ่ายปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมก็ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เช่นเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น หากจะตีความว่ามาตรา ๑๑ เป็นขั้นตอนหรือวิธีการที่ผู้เสียหายต้องกระทำเสียก่อนการยื่นฟ้องคดีละเมิดทางปกครองต่อศาลปกครองตามมาตรา
๔๒
วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
ก็จะทำให้เกิดความลักลั่นกันขึ้นในระหว่างการใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมและศาลปกครองในคดีพิพาทอันเนื่องมาจากการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองเช่นเดียวกัน
ซึ่งไม่ใช่วัตถุประสงค์ของกฎหมายที่จะให้มีความลักลั่นเช่นนั้นเกิดขึ้น
และโดยที่ มาตรา ๑๑ ก็ไม่ได้กำหนดระยะเวลาสำหรับการที่ผู้เสียหายจะยื่นคำขอต่อฝ่ายปกครองเอาไว้
จึงมีปัญหาตามมาอีกว่าผู้เสียหายจะต้องยื่นคำขอภายในกำหนดเวลาใด
จะยื่นคำขอเมื่อสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายขาดอายุความแล้วได้หรือไม่
ประกอบกับตามปกติแล้วในกรณีที่กฎหมายมีวัตถุประสงค์ให้ถือเป็นขั้นตอนหรือวิธีการที่ต้องกระทำก่อนการยื่นฟ้อง
ก็จะมีการกำหนดระยะเวลาที่จะต้องกระทำไว้โดยชัดเจน
ดังเช่นในกรณีของการเรียกร้องค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืน
ดังที่ได้ยกเป็นตัวอย่างมาแล้วข้างต้น
กรณีจึงเห็นได้ว่าการยื่นคำขอต่อฝ่ายปกครองตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ
ไม่ใช่ขั้นตอนหรือวิธีการตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ
ส่วนปัญหาว่าคำสั่งของฝ่ายปกครองที่สั่งตามมาตรา
๑๑ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ
เป็นคำสั่งที่ต้องระบุวิธีการและระยะเวลาสำหรับการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองไว้ด้วยหรือไม่
นั้น หากพิจารณาจากถ้อยคำในวรรคหนึ่งของมาตรา
๑๑ ที่ว่า ...เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคำสั่งเช่นใดแล้ว....
ก็ชวนให้เข้าใจไปได้ว่าเป็นคำสั่งที่อยู่ในบังคับของมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ด้วย
แต่เมื่อพิจารณาประกอบกับการฟ้องคดีละเมิดทางแพ่งอันเกิดจากการกระทำของฝ่ายปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมและไม่อยู่ในบังคับของมาตรา
๕๐ ดังกล่าว ก็จะเห็นถึงความลักลั่นจากการตีความเช่นนี้ และเมื่อการยื่นคำขอต่อฝ่ายปกครองตามมาตรา
๑๑
เป็นเพียงทางเลือก ผู้เสียหายยังมีสิทธิเต็มที่ที่จะยื่นฟ้องเป็นคดีละเมิดต่อศาล
ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง โดยจะยื่นคำขอตามมาตรา ๑๑ หรือไม่ก็ได้
ประกอบกับกรณีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองนี้
ความเดือดร้อนหรือเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ
ก็ได้แก่ความเสียหายอันเป็นผลมาจากการกระทำละเมิดนั้นเอง หาได้เป็นผลมาจากการที่ฝ่ายปกครองไม่ชดใช้ค่าเสียหาย
หรือชดใช้ค่าเสียหายให้น้อยกว่าจำนวนที่ผู้เสียหายเรียกร้องไม่
การฟ้องคดีพิพาทในกรณีเช่นนี้จึงต้องฟ้องเพื่อเรียกค่าเสียหายที่ผู้เสียหายยังไม่ได้รับตามความต้องการของตนเป็นสำคัญ
โดยไม่ต้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของฝ่ายปกครองตามมาตรา ๑๑ นั้นแต่อย่างใด
ในทำนองเดียวกับการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
หากผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนยังไม่พอใจในจำนวนค่าทดแทนที่ตนได้รับ
ก็สามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกค่าทดแทนเพิ่มขึ้นได้
โดยไม่ต้องขอให้ศาลเพิกถอนการกำหนดค่าทดแทนเบื้องต้นหรือผลการพิจารณาอุทธรณ์ของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
คำสั่งของฝ่ายปกครองตามมาตรา ๑๑
นี้จึงไม่ใช่วัตถุแห่งคดีที่จะนำมาฟ้องต่อศาลปกครอง และไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องแจ้งวิธีการและระยะเวลาสำหรับการยื่นคำฟ้องตามมาตรา
๕๐ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และการตีความเช่นนี้ก็จะมีผลให้การดำเนินคดีเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของฝ่ายปกครองสอดคล้องต้องกันไปหมดทั้งระบบ
ทั้งคดีละเมิดทางปกครองที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
และคดีละเมิดทางแพ่งที่ยังอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
___________________________
ตุลาคม ๒๕๔๘