เกาหลีใต้กับความสำเร็จของ
e-Government
วชิระ
ปากดีสี
หากพูดถึงคำว่า e-Government
อาจมีหลายคนที่รู้ดีหรืออาจรู้บ้าง
แต่จะมีซักกี่คนที่รู้ความหมายที่แท้จริงและรู้ว่า e-Government
นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
e-Government หรือที่เรียกว่า รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ คือ
วิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่
โดยการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเครือข่ายสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาครัฐปรับปรุงการ
บริการให้แก่ประชาชน
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่เป็นสิ่งจำเป็นของการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge-based
Society)
และเป็นหนึ่งในสามยุทธศาสตร์สำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นอันดับเร่งด่วนก่อนและถือเป็นประเด็นหลักของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๔๕ - ๒๕๔๙
จากรายงานผลการสำรวจ e-Government
ของโลก (The UN Global E-Government Readiness Report 2004)
พบว่าประเทศเกาหลีใต้ได้รับการจัดให้อยู่ในลำดับที่ ๕
จากการจัดอันดับดัชนีความพร้อมในการเป็น e-Government
(รองจากสหรัฐอเมริกา เดนมาร์ก สหราชอาณาจักร และสวีเดนตามลำดับ)
และอยู่ในอันดับที่ ๘ จากการจัดอันดับดัชนีของการใช้งาน e-Government
(รองจากสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนนาดา สิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ แมกซิโก
และนิวซีแลนด์ตามลำดับ)
การบริหารโครงการ IT
ที่ประสบความสำเร็จนี้เป็นผลเนื่องมาจากการสนับสนุนของรัฐบาล
การแบ่งงานรับผิดชอบที่ชัดเจนสำหรับแผนการของ e-Government
และเป็นประเทศหนึ่งของโลกที่มีโครงสร้างพื้นฐานของการคมนาคมที่ดีเยี่ยม
ในระหว่างปี ๑๙๙๘ และปี ๒๐๐๑
รัฐบาลได้ทุ่มงบประมาณให้กับเทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศถึงเท่าตัวคือจาก ๕๔๔
ล้านเหรียญ ไปเป็น ๑,๑๐๐ ล้านเหรียญ โดยเงินจำนวนดังกล่าวคิดเป็น ๑.๔
เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด
รูปแบบใหม่ของการบริหารงานรัฐ
e-Government
มุ่งที่จะให้บริการในระบบออนไลน์
และเพื่อให้รัฐบาลเป็นรัฐบาลที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง รัฐบาลได้จัดงานบริการให้แก่ประชาชนด้วยความสะดวกและง่าย
รัฐบาลให้บริหารที่มีประสิทธิภาพโดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีใหม่ๆ
ทำให้กระบวนการทำงานของพนักงานของรัฐต้องเปลี่ยนไป
ในสังคมแห่งการเรียนรู้ของศตวรรษที่ ๒๑ นี้ e-Government
เป็นการปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันในระดับชาติ ซึ่งต่อไป e-Government
คงไม่ใช่เพียงแต่ตัวเลือกเท่านั้น หากแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องทำ
พิมพ์เขียวของ e-Government
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้มุ่งเน้นไปที่สามเป้าหมายหลักเพื่อสร้าง
e-Government คือ
๑. ขยายขอบเขตการบริการของรัฐ
ในการเพิ่มขอบเขตการบริการของรัฐเพื่อความพึงพอใจสูงสุดในแง่ของคุณภาพการบริการ
รัฐบาลต้องจัดให้บริการนั้นๆแก่ประชาชน ไม่ว่าคนใด ที่ใด ด้วยการ คลิ๊ก
เพียงครั้งเดียว และเพื่อที่จะให้เป้าหมายเชิงกลยุทธ์นี้สำเร็จ
รัฐได้จัดบริการแบบประชนเป็นศูนย์กลาง โดยการสร้างหน้าเว็บไซต์แบบ Single
Window e-Government
ซึ่งทำให้ประชาชนสามารถยื่นคำร้องของรับบริการและเข้าถึงข้อมูลการบริการผ่านระบบที่ง่ายต่อการใช้งาน
และประชาชนยังมีทางเลือกกับการรับเอกสารที่ฝ่ายราชการออกให้ในรูปแบบของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
และภายในหน้าเว็บไซต์เดียวกันนั้นเอง
รัฐหรือหน่วยงานอื่นก็จะเข้าใช้ข้อมูลร่วมโดยผ่านระบบเครือข่ายระหว่างกัน
ซึ่งจะทำให้ลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นลงได้ เช่น ระเบียบในการยื่นเอกสาร
ซึ่งอาจจะต้องยื่นเอกสารชนิดเดียวกันหลายครั้งกับหน่วยงานรัฐหนึ่งๆ
๒. สร้างระบบการบริหารราชการฐานการตลาดที่ส่งเสริมภาคธุรกิจ
เพื่อให้เกิดการบริหารที่ส่งเสริมภาคธุรกิจ
ต้องมีการขยายการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ในขณะเดียวกัน
ความปลอดภัยของระบบอินเตอร์เน็ตก็ต้องได้รับการปรับปรุง เพื่อการนี้
ต้องมีการรวบรวมระบบการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐและระบบการบริการต่างๆทางอินเตอร์เน็ตเข้าไว้ในหน้าเว็บเพจเดียวกันด้วย
ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้การดำเนินงานของรัฐมีความโปร่งใส
ตรวจสอบได้ให้แก่คู่สัญญาหรือภาคธุรกิจ
๓. มีการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส
และเสรีมากขึ้น
การใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐต้องเป็นไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของภาคราชการ
การบริการแบบทันที (real-time)
และการติดต่อสื่อสารกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจะทำให้จะทำให้ภาคราชการเป็นหน่วยงานที่มีความโปร่งใส
และเสรีมากขึ้น เพื่อการนี้ จะต้องรวมโครงข่ายระหว่างหน่วยงานด้านการเงินของรัฐ
การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ งานฝ่ายบุคคลากร และกระบวนการทำงานหลักภายในเข้าด้วยกัน
ต้องมีการสนับสนุนให้มีการทำงานแบบสำนักงานไร้กระดาษ (paperless office)
โดยการประยุกต์ใช้การรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (e-Approval)
และเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document) และการขยายฐานการใช้งานอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ
ให้มากขึ้น
ก่อนที่จะมาเป็น
e-Government
การเก็บและบันทึกข้อมูลของราชการให้เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อประมาณกลางปี ๑๙๘๐
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้เริ่มวางโครงสร้างของ e-Government
โดยโครงการระบบข้อมูลพื้นฐานของชาติ (National Basic Information System
project) โดยแผนงานช่วงที่ ๑ และที่ ๒ ของโครงการ (ปี ๑๙๘๗
๑๙๙๖) มีการรวบรวมฐานข้อมูลที่จัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวกับการเงิน การจดทะเบียนพาหนะ
และข้อมูลที่สำคัญในการบริหารประเทศ เมื่อระบบโครงข่ายของรัฐสมบูรณ์
ประชาชนสามารถร้องขอเอกสารราชการ เช่น ทะเบียนบ้าน โฉนดที่ดิน
เอกสารแสดงการจดทะเบียนยานพาหนะ
รวมทั้งเอกสารที่มีการรับรองจากหน่วยงานส่วนภูมิภาค
ด้วยเหตุนี้เองทำให้เอกสารที่ต้องยื่นในการขอรับบริการลดจำนวนลงมากและระยะเวลาในการให้บริการของผ่ายราชการก็น้อยลงเช่นกัน
เมื่อกลางปี ๑๙๙๐ ได้มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ คือ
ระบบโครงข่ายสื่อสารความเร็วสูงทั่วประเทศ
โดยได้มีการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่มีอัตราใช้ช่องสัญญาณความเร็วสูง (broadband)
มากที่สุดในบรรดาชาติสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organization Economic Cooperation and Development)
และเป็นประเทศหนึ่งของโลกที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการโทรคมนาคมที่ก้าวหน้ามาก
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการบริการราชการแผ่นดิน
กลางปี ๑๙๙๐ ได้มีการประกาศกรอบแผนงานว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ข้อมูลสารสนเทศ
๑๙๙๕ (Framework Act on Informatization Promotion (1995))
ด้วยเหตุนี้ทำให้มีการผลักดันและขยายการใช้เทคโนโลยีข้อมูลสารสนเทศในทั่วทุกส่วนของการบริหารราชการ
ได้มีการเพิ่มการให้บริการในส่วนของกระบวนการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์
การยื่นขอสิทธิบัตร งานกำลังสำรอง และงานส่วนอื่นๆของราชการผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น
โดย
-
ใช้แผนงานที่ครอบคลุมและเป็นระบบ
คือ Master Plan for Informatization Promotion (1996) และ
Cyber Korea 21 (1999)
-
สร้างระบบเครือข่ายข้อมูลความเร็วสูง
และเพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่ายสำหรับผู้ใช้ช่องสัญญาณความเร็วสูง (broadband)
เชื่อมโยง ๑๔๔ อำเภอทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพของเครือข่าย ADSL
(Asymmetric Digital Subscriber Line, หรือเทคโนโลยีในการส่งข้อมูลในระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตผ่านสายโทรศัพท์ด้วยความเร็วสูง)
และคุณภาพของ CATV (คุณภาพของการแพร่สัญญาณภาพทางโทรทัศน์)
-
สร้างเว็บไซต์ให้แก่หน่วยงานราชการ
โดยให้ข้อมูลบริการ นโยบายการส่งเสริมการบริการที่มีแก่ประชาชน
และการบริการของรัฐบาลผ่านระบบออนไลน์
-
ริเริ่มและประยุกต์ใช้ระบบการรับรองเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
(e-Approval System)
ภายในหน่วยงานของทุกส่วนราชการ
-
สร้างระบบโครงข่ายข้อมูลของหน่วยงานส่วนภูมิภาค
ระบบโครงข่ายข้อมูลการบริหารภาษี ระบบโครงข่ายศุลกากรและสรรพสามิต
ระบบโครงข่ายการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ระบบฐานข้อมูลความรู้ (เก็บจากองค์ความรู้ ๖
ศาสตร์ใหญ่)
-
ประกาศใช้กฎหมายที่ผลักดันการขยายการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
คือ กรอบแผนงานว่าด้วยการส่งเสริมการใช้ข้อมูลสารสนเทศ ๑๙๙๕ (Framework Act
on Informatization Promotion (1995))
พระราชบัญญัติพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce Act)
พระราชบัญญัติลายมืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature Act) พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการอิเล็กทรอนิกส์ว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการเพื่อสร้างระบบราชการอิเล็กทรอนิกส์
(Electronic Promotion Act on Administration Processes for Establishment of an
e-Government) และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
การใช้ข้อมูลร่วมร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐและการให้บริการที่หลากหลายของ
e-Government
เมื่อต้นปี ๒๐๐๑
รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมชุดหนึ่งเรียกว่า The Special Committee for
E-Government (SCEG)
เพื่อเป็นหน่วยงานส่งเสริมความร่วมมือภายในระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกัน e-Government
เป็นแนวคิดของการบริการ
มุ่งที่จะแก้ปัญหาของภาคราชการเพื่อให้บริการที่สะดวกและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้นแก่ประชาชน
เอื้ออำนวยต่อบรรยากาศการค้า เพิ่มความสามารถในการผลิต มีความโปร่งใส
และเป็นประชาธิปไตย SCEG มีหน้าที่ที่พิเศษคือการเป็นผู้นำและผู้ชำนาญการในการสร้างระบบ
e-Government คือ
การร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลในระหว่างหน่วยงานรัฐและการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ
e-Government ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม
อำนาจและหน้าที่ของ SCEG
SCGE จะต้องดำเนินโครงการหลักของ e-Government
๑๑ โครงการให้ตรงกับความต้องการของประชาชนและภาคธุรกิจให้เสร็จสมบูรณ์ในปี ๒๐๐๒
โดยจะต้องสร้างแผนงานที่ครอบคลุมเพื่อการสร้างระบบ e-Government
ที่มีประสิทธิภาพ โดยคณะกรรมการชุดนี้มีกลยุทธ์ในการดำเนินให้สำเร็จได้ดังนี้คือ
๑.
ประชุมและติดตามงานทุกอาทิตย์
๒.
ออกแบบวิธีการที่เป็นมาตรฐานในการติดต่อระหว่างโครงการต่างๆของ
e-Government
ที่มีความแตกต่างกันและปรับใช้งานทั่วทุกหน่วยงานของรัฐ
๓.
เสนอกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอันเป็นการสนับสนุน
e-Government โครงการต่างๆ
ก่อนที่การบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจะเริ่มดำเนินการ
ลักษณะโครงสร้างของ SCEG
SCEG จัดตั้งขึ้นในหน่วยงานบริหารระดับสูงของสำนักประธานาธิบดี
(Office of the President) คือ Presidential
Commission on Government Innovation ดังนั้น SCEG จึงองค์กรที่ขึ้นตรงและรับผิดชอบต่อประธานาธิบดี
ประกอบไปด้วยตัวคณะกรรมการที่มาจากพลเรือนและหัวหน้าส่วนราชการ โดยโครงการหลักของ e-Government
๑๑ โครงการนั้นได้แก่
(๑)การเชื่อมโยงข้อมูล ๕ งานหลักของราชการคือ
ทะเบียนราษฎร อสังหาริมทรัพย์ ทะเบียนพาหนะ ทะเบียนธุรกิจ
และภาษีให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกัน
(๒) สร้างระบบการให้บริการที่เรียกว่า ราชการเพื่อประชาชน
(Government for Citizen system (G4C))
(๓)ระบบการเสียภาษี (Home Tax Service
System)
(๔) ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของราชการ (Government
e-Procurement System)
(๕)
ระบบข้อมูลการเงินแห่งชาติ (National Finance Information
System (NAFIS))
(๖) ระบบข้อมูลการศึกษาแห่งชาติ (National
Education Information System)
(๗) ดำเนิน โครงการระบบเครือข่ายข้อมูลราชการส่วนท้องถิ่นเพื่อการบริการ
๒๑ รายการ (Local Government Information Network
System Project for 21 service areas)
(๘) ระบบงานบุคคลกร (Personnel Policy
Support System (PPSS))
(๙) ขยายอัตราการใช้และการรวบรวมเอกสารแบบ
การรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (e-Approval) และเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
(e-Document) ในระหว่างหน่วยงานรัฐ
(๑๐) เพิ่มการใช้ระบบลายมือ
และการตรวจสอบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature and the e-Seal System)
(๑๑)
สร้างโครงข่ายรวมคอมพิวเตอร์ทั่วทุกส่วนราชการ (Government-wide
intergraded computer network)
โครงการหลักของ
e-Government ๑๑
โครงการ
ราชการเพื่อประชาชน (Government for
Citizen (G4C) system): (www.egov.go.kr)
โครงการนี้รัฐบาลเกาหลีใต้ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการการบริการรัฐที่มีประสิทธิภาพและความเปลี่ยนแปลงในการบริหารระดับชาติ
หน่วยงานจำนวนมากเป็นหน่วยงานที่ให้บริการแก่ประชาชน
และประชาชนก็ควรจะรู้สึกดีกับการติดต่อราชการกับหน่วยงานเหล่านี้ด้วย
อย่างไรก็ตามการที่จะรู้ว่าจะต้องติดต่อกับหน่วยงานรัฐใดบ้างเป็นเรื่องที่ยาก
โดยเฉพาะเรื่องที่จะต้องเกี่ยวกับหน่วยงานจำนวนมาก
นอกจากนี้หน่วยงานของรัฐในแต่ละหน่วยก็ยังมีระบบงานที่แตกต่างกัน
ไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลเท่าที่ควร ซึ่งทั้งหมดนั้นก็คือ ความไม่สะดวกของประชาชน
การทำงานของ G4C ผ่านกลยุทธ์ ๔ ประการ คือ กลยุทธ์เชิงเทคนิค
(เป็นการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น การตรวจสอบโดยองค์กรสาธารณะ หรือ PKI
(Public Key Infrastructure)
หรือเทคโนโลยีการเข้าสู่รหัสของข้อมูล (SSL,
PKI) เพื่อปกป้องข้อมูลในระบบเชื่อมโยงข้อมูล เป็นต้น)
กลยุทธ์เชิงการบริหาร (มีการจัดกลุ่มงาน (Task Force Team)
ซึ่งได้มีการแยกงานความรับผิดชอบให้ชัดเจน) กลยุทธ์เชิงการประชาสัมพันธ์
และกลยุทธ์เชิงความมั่นคงปลอดภัยในการทำธุรกรรมทางอินเตอร์เน็ต
ข้อมูลที่เกี่ยวกับทะเบียนราษฎร อสังหาริมทรัพย์
ทะเบียนพาหนะ ธุรกิจ ภาษีบุคคลธรรมดา เป็นเรื่องที่สำคัญมากในชีวิตประจำวันของประชาชนทั่วไป
G4C ได้รวมข้อมูลดังกล่าวเข้าเป็นระบบฐานข้อมูลเดียวกัน
และรวมการบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ตอื่นๆของหน่วยงานอื่นไว้ในหน้าเว็บไซต์เพียงหน้าเดียว
(Single Window e-Government) เป็นผลให้การรับบริการจาก G4C
ทำให้เอกสารที่ต้องยื่นและขั้นตอนการปฏิบัติราชการลดลงเป็นจำนวนมาก
การมีส่วนร่วมของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น
ประชาชนสามารถยื่นคำร้องขอรับบริการผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
หรืออาจค้นหาได้จากคู่มือผ่านระบบออนไลน์ ค่าธรรมเนียมในการบริการรายการหนึ่งๆ
จะถูกคำนวณและดำเนินการผ่านระบบการเชื่อมโยมข้อมูลและจะต้องตรวจสอบการส่งเอกสาร
ความคืบหน้าของการดำเนินการตามคำร้องสามารถตรวจสอบได้ผ่านระบบออนไลน์
และเอกสารราชการที่ออกให้สามารถส่งให้ประชาชนได้ผ่าน e-mail
ตัวอย่างเช่น
สมมุติว่าประชาชนต้องการที่จะขอสำเนาทะเบียนบ้าน
ประชาชนต้องไปที่ที่ว่าการอำเภอและแสดงบัตรประจำตัวประชาชนยื่นคำร้องขอคัดถ่ายและรับเอกสารได้ภายหลังจากชำระค่าธรรมเนียมแล้ว
หรือหากไม่มีเวลาไปรับด้วยตนเองก็ตามมอบหมายให้ผู้อื่นไปรับแทนพร้อมด้วยใบมอบอำนาจ
แต่ปัจจุบันนี้ ด้วยบริการ G4C
ประชาชนสามารถเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ กรอกและยืนยันด้วยระบบตรวจสอบที่มีอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ต
กรอกคำร้องที่ต้องการและชำระเงินผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและรับเอกสารได้จาก e-mail
หรือจากเดิมหากประชาชนต้องการรับบริการหลายชนิด
ต้องเตรียมเอกสารแต่ละรายการพร้อมรับรองสำเนาถูกต้องทุกฉบับ
และเมื่อติดต่อกับหน่วยงานใดแล้วหน่วยงานนั้นก็จะเก็บเอกสารสำหรับรายการนั้นๆไว้
แต่ปัจจุบันด้วย G4C เอกสารประมาณ ๒๐
ชนิดไม่ต้องยื่นในการขอรับบริการ เช่น ทะเบียนที่อยู่อาศัย ทะเบียนครอบครัว
ใบกำกับภาษี โฉนด สมุดคู่มือทะเบียนรถ หนังสือรับรองการประกอบธุรกิจ เป็นต้น
ระบบเชื่อมโยงข้อมูลประกันสังคม (Social
Insurance Information Sharing System (SIIS)) (www.4insure.or.kr)
SIIS เป็นระบบที่เชื่อมโยง ๔ ระบบเข้าด้วยกัน คือ
ประกันสุขภาพ บำเหน็จบำนาญ ประกันว่างงาน
และประกันชดเชยความเสียหายจากอุบัติเหตุอุตสาหกรรม ผู้ถือกรมทัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นกรมทัณฑ์ชนิดใด
สามารถเปลี่ยน ยกเลิกกรมทัณฑ์ ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
หรือในกรณีที่เปลี่ยนงานที่ต้องการข้อมูลของประกันสังคม
ข้อมูลการใช้ตรวจสอบได้จากคู่มือของเว็บท่านี้เอง
การชำระเงินก็ทำผ่านระบบอินเตอร์เน็ตเช่นกัน
ระบบการเสียภาษี (Home Tax Service
System) (HTS) (www.hometax.go.kr)
ด้วยบริการ HTS
ผู้เสียภาษีสามารถดำเนินงานด้านภาษีได้ด้วยต้นเองจากที่บ้านหรือที่ทำงานโดยไม่ต้องไปที่สำนักงานสรรพากร
เช่น การยื่นแบบภาษี รับแจ้งภาระภาษี ขอหนังสือรับรอง หรือขอคำปรึกษาเกี่ยวกับภาษี
ซึ่งจะทำให้การบริการมีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้น
การให้บริการ
-
การยื่นแบบแสดงภาษี
ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ ภาษีสรรพสามิต ภาษีสุรา แสตมป์
และภาษีขนส่ง ได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
-
ผู้เสียภาษีอาจรับแจ้งภาระภาษีผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้แทนการแจ้งแบบธรรมดาของการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีประเภทอื่นๆ
และการชำระภาษีอาจทำได้โดยโอนเงินผ่านระบบ e-Payment
-
ยื่นคำร้องและตรวจสอบขั้นตอน
ประชาชนอาจรับเอกสารรับรองทางอินเตอร์เน็ตได้ เช่น ใบรับรองการประกอบธุรกิจ
ใบกำกับภาษี เป็นต้น ส่วนการบริการที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการสามารถตรวจสอบความคืบหน้าได้ทางระบบอินเตอร์เน็ตเช่นกัน
-
ข้อมูลการยื่นภาษี
ภาระภาษี การขอคืนภาษี อาจส่งให้แก่ผู้เสียภาษีได้ทาง e-mail หรือทาง
SMS ผ่านไปยังโทรศัพท์มือถือ
ตัวอย่างเช่น เดิมหากผู้ประกอบการใดไม่ชำระหรือชำระไม่ถูกต้องซึ่งภาษีมูลค่าเพิ่ม
เจ้าหน้าที่จะติดต่อผู้ประกอบการโดยโทรศัพท์แจ้งให้ทราบถึงการเสียภาษี
ผู้ประกอบการต้องมาที่ที่ทำการและยื่นแบบเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
เจ้าหน้าที่จะออกใบแจ้งหนี้ภาษีและผู้ประกอบการจะรับใบแจ้งหนี้ภาษีเองหรือทางไปรษณีย์ก็ได้
และนำใบแจ้งหนี้ภาษีนั้นไปชำระเงินที่ธนาคารและเก็บใบเสร็จรับเงินไว้เป็นหลักฐาน
ปัจจุบัน
สำนักงานสรรพากรเกาหลีจะแจ้งผู้ประกอบการซึ่งไม่ยื่นแบบแสดงภาษีมูลค่าเพิ่มโดย e-mail
หรือ SMS อัตโนมัติ
ผู้ประกอบการสามารถยื่นแบบได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
ผู้ประกอบการสามารถตรวจสอบภาษีที่ต้องชำระได้ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตและชำระภาษีได้ผ่านระบบ
e-Payment โดยไม่ต้องไปที่สำนักงานสรรพากรฯเลย
ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของราชการ (Government
e-Procurement System) (GePS) (www.g2b.go.kr)
ระบบการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐในเกาหลีใต้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ
Public Procurement Service (PPS) ซึ่งหน่วยงานนี้เองได้เป็นผู้พัฒนาและบริหารระบบ
GePS พื้นฐานของ GePS
มาจากการใช้ระบบการประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding)
และเทคโนโลยี EDI
GePS ได้รับการออกแบบให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดทำผ่านระบบออนไลน์
เป็นช่องทางที่ทำให้หน่วยงานราชการและผู้รับจ้างเข้าถึงได้
เป็นแหล่งรวมข้อมูลของหน่วยงานของรัฐมากกว่า ๒๕,๐๐๐
แห่งที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยผ่านระบบ GePS
รวมทั้งจำนวนโครงการ คุณสมบัติเฉพาะ หลักเกณฑ์การเลือกผู้รับจ้าง ฯลฯ
รวมทั้งยังมีข้อมูลของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ๓๙๐,๐๐๐ รายการ
ผู้รับจ้างที่สามารถเข้าร่วมการประกวดราคาได้ทุกโครงการ
โดยกำหนดให้ผู้รับจ้างต้องลงทะเบียนก่อนโดยการลงทะเบียนนี้ทำเพียงครั้งเดียว
ซึ่งปัจจุบันมีผู้รับจ้างที่ลงทะเบียนไว้ประมาณ ๘๗,๐๐๐ ราย
หน่วยงานราชการไม่ต้องดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยตนเอง
เพียงแต่เข้ามาที่ GePS และดำเนินการการจัดซื้อจัดจ้าง ได้แก่
การร้องขอซื้อ ประกาศประกวดราคา การเปิดซองประกวดราคา การทำสัญญา
และการชำระเงินตามสัญญา ผู้รับจ้างสามารถลงทะเบียน ยื่นซองและหนังสือค้ำประกัน
และคำร้องขอให้ชำระหนี้
นอกจากนี้ผู้ว่าจ้างยังอาจหาข้อมูลของหน่วยงานราชการจากระบบ GePS
นี้ได้ด้วย
และเพื่อให้การดำเนินการของหน่วยงานรัฐผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างเป็นไปได้ด้วยดี GePS
ได้เชื่อมต่อกับระบบภายนอก ๕๓ ระบบ เช่น สมาคมผู้ก่อสร้าง
เพื่อใช้ข้อมูลการประเมินผู้รับจ้าง เช่น ฐานะการเงิน
เชื่อมต่อเข้ากับธนาคารพาณิชย์สำหรับการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
การใช้ระบบ GePS
นำมาซึ่งประโยชน์หลายประการ เช่น
๑. สามารถประหยัดงบประมาณได้ประมาณ ๒.๗
ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ
๒. เพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างอันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ของคนกับคน
๓. ลดระยะเวลาในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง
๕. มีการแข่งขันกันสูงขึ้น
เพิ่มโอกาสในการเข้าสู้ราคา ทำให้มีผู้รับจ้างยื่นซองประมูลงานมากขึ้น
ระบบข้อมูลการเงินแห่งชาติ (National
Finance Information System (NAFIS)) (www.nafis.go.kr)
NAFIS
เป็นระบบที่ให้ข้อมูลและรวมงานการคลังของหน่วยงานราชการต่างๆ
เข้าสู่ระบบโครงข่ายและจัดการข้อมูลแบบทันที (real-time)
โครงการนี้ทำให้ระบบการเงินการคลังของรัฐมีความโปร่งใส
มีประสิทธิภาพมากขึ้นและในขณะเดียวกันก็ทำให้รัฐมีความรับผิดชอบมากขึ้น
ระบบการเงินการคลังของหน่วยงานของรัฐหน่วยต่างๆ
จะเชื่อมโยงและบูรณาการการวางแผนงบประมาณ การจัดสรรงบประมาณ การตัดบัญชี
การเงินการคลังของภาครัฐจะได้รับการตรวจสอบและบริหารอย่างสม่ำเสมอ
มีการใช้เทคโนโลยี EBPP (Electronic Bill Presentment & Payments)
ซึ่งทำให้การเก็บเงินค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับต่างๆ จากประชาชน สามารถทำได้ผ่านระบบ
ใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์ (e-Bill) การชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์
(e-Payment) และการรับชำระอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt)
ข้าราชการส่วนกลางที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการบัญชีจะได้รับรหัสเพื่อเข้าสู่ระบบและเข้าเมนูได้เฉพาะที่ได้รับอนุญาตเท่านั้นเพื่อทำหน้าที่ของตนเอง
สำหรับประชาชนที่ขอรับบริการใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์กับสถาบันการเงินใดแล้วและมีการรับบริการจากราชการหรือมีค่าปรับที่ต้องชำระ
จะมีการส่งใบแจ้งหนี้ดังกล่าวให้กับประชาชนผู้นั้นโดยอัตโนมัติ ภายหลังจากที่ตรวจสอบจำนวนค่าธรรมเนียมที่ปรากฏในใบแจ้งหนี้อิเล็กทรอนิกส์นั้นแล้ว
ก็สามารถชำระเงินผ่านบริการธนาคารอินเตอร์เน็ตได้
ระบบข้อมูลสารการศึกษาแห่งชาติ (National
Education Information System) (www.neis.go.kr)
NEIS เป็นการรวมโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษามากกว่า
๑๐,๐๐๐ แห่ง สำนักงานการศึกษาจังหวัด ๑๖ แห่งพร้อมหน่วยย่อย
และกระทรวงการศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Ministry of Education & Human Resources
Development) นักเรียน ผู้ปกครอง
และผู้บริหารสถานศึกษาสามารถเข้าถึงข้อมูลการศึกษาที่มีการเชื่อมโยงกันทั้งประเทศ
ระบบการบริหารการศึกษาจะมีประสิทธิภาพและมีการใช้เอกสารกระดาษน้อยลงในขณะที่มีการให้บริการทางการศึกษาได้ดีขึ้น
บริการที่มีอยู่ในระบบ NEIS
จะรวมการออกใบรับรองต่างๆ การยื่นข้อร้องเรียน การเสนอแผน การสอบถามและการหาข้อมูล
และยังมีผลการศึกษาบริการแก่ผู้ปกครองอีกด้วย
และยังรวมถึงงานการบริหารการศึกษาต่างๆ เช่น การบริหารงานโรงเรียน
ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาและข้าราชการจะต้องทำงานร่วมกัน
การประกันสังคมสำหรับนักเรียน การจัดการทรัพยากรมนุษย์ การจัดสรรงบประมาณ เป็นต้น
โครงการระบบเครือข่ายข้อมูลราชการส่วนท้องถิ่น (Local
Government Information Network System Project) (www.ebang.go.kr)
ระบบเครือข่ายข้อมูลราชการส่วนท้องถิ่นเป็นระบบข้อมูลสารสนเทศของการบริการราชการที่ครอบคลุม
ซึ่งทำให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลของราชการคือ ทะเบียนบ้าน ทะเบียนพาหนะ สำมะโนครัว
ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒๓๒ แห่งที่ออกให้แก่ประชาชน
ซึ่งตั้งแต่เริ่มข้าสู่โครงการนี้ทำให้การบริหารมีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใสมากขึ้น
เอกสารใบรับรอง ๓๘ ชนิด เช่น โฉนดที่ดิน
ทะเบียนที่อยู่อาศัย ทะเบียนพาหนะ เป็นต้น สามารถออกให้ได้ไม่ว่าที่ใดหรือเวลาใดจากจุดให้บริการ
๒๓๒ แห่งของสำนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจากเครื่องออกเอกสารอัตโนมัติ
ข้อมูลจะถูกเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเชื่อมโยงเข้าทุกหน่วยงาน
ซึ่งสามารถให้บริการแบบเบ็ดเสร็จได้ (one-stop service)
หรืออาจดำเนินการได้ผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตได้เช่นกัน
กรณีที่ประชาชนเปลี่ยนที่อยู่และแจ้งข้อมูลนี้ให้ทราบเพียงครั้งเดียว
ข้อมูลนี้จะได้รับการปรับปรุงในทะเบียนอื่นๆ ด้วย เช่น ทะเบียนพาหนะ
ข้อมูลประกันสังคม และข้อมูลส่วนบุคคลอื่นๆ ที่รัฐเก็บไว้ เป็นการตัดขั้นตอนและภาระการดำเนินการของประชาชนลงได้มาก
ระบบงานบุคคลกร (Personnel Policy Support
System (PPSS)) (www.csc.go.kr)
PPSS
เป็นระบบการบริหารจัดการบุคคลกรที่ได้รับการพัฒนาสำหรับการจ้าง การส่งเสริม
การจ่ายค่าทดแทนต่างๆ การฝึกอบรม การจัดสรรสวัสดิการสังคมสำหรับข้าราชการ
ซึ่งทำให้การบริการงานบุคลากรมีประสิทธิภาพและมีความโปรงใสมากขึ้น
ตำแหน่งที่ว่างในหน่วยงานต่างๆ
จะมีการประกาศในเว็บไซต์
ประชาชนสามารถค้นหาข้อมูลของงานและสามารถยื่นใบสมัครงานผ่านระบบออนไลน์
และยังมีบริการข้อมูลเชิงสถิติของหน่วยงานรัฐต่างๆ ด้วย ข้อมูลเหล่านี้ได้รับการวิเคราะห์และส่งให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อจะได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ในงานบุคลากรของฝ่ายราชการในฐานะที่เป็นกุญแจสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดิน
ข้าราชการสามารถใช้ PPSS
ในการหาข้อมูลส่วนบุคคลของตน การยื่นขอลาพักร้อน หรือขอรับคำปรึกษาในการทำงานได้
เป็นต้น
การรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (e-Approval)
และเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Document)
ในระหว่างหน่วยงานรัฐ
ระบบนี้สร้างขึ้นมาเป็นพื้นฐานของการปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติราชการในเรื่องของการส่งและการรับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์
ระบบเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งจะมีข้อมูลผู้ส่งและผู้รับในแต่ละเอกสารและระบบตรวจสอบที่มาของเอกสาร
โดยผ่านการใช้ระบบลายมืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature)
ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบและยืนยันถึงความมีอยู่ของผู้ส่งเอกสารทุกครั้ง
เอกสารที่มีการรับรองแล้วก็จะส่งไปตามหน่วยงานต่างๆ ที่ปรากฏในรายชื่อหน่วยงาน
ระบบลายมือและการตรวจสอบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature
and e-Seal System)
ระบบนี้เป็นระบบที่ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลโดยการใช้ระบบรักษาความปลอดภัยในการใช้ข้อมูลร่วมของภาคราชการและสร้างความไว้วางใจกับระบบการบริหารราชการอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
การสร้างและการขยายการใช้งานของระบบการตรวจสอบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Authentication
System)
เป็นกุญแจสำคัญของการขยายการให้บริการอิเล็กทรอนิกส์เกือบทั้งหมด
ได้มีการออกลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่มีการรับรองแล้วให้ประชาชน
๑๐ ล้านคน เป็นผลให้มีการขยายการเข้าถึงการบริการออนไลน์ของรัฐแก่ภาคเอกชนอย่างกว้างขวาง
เช่น การประมูล การยื่นแบบเสียภาษี หรือบริการออนไลน์อื่นๆ
ซึ่งมีลักษณะอย่างเดียวกันกับการออกรหัสในการตรวจสอบผู้ใช้ที่ธนาคารออกให้แก่ลูกค้าตนเพื่อใช้บริการธนาคารผ่านระบบอินเตอร์เน็ตนั้นเอง
สร้างโครงข่ายรวมคอมพิวเตอร์ทั่วทุกส่วนราชการ (Government-wide
integraded computer network)
โครงการนี้เป็นหนึ่งในโครงการหลักของรัฐบาลซึ่งเป็นระบบที่เชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ในแต่ละส่วนราชการโดยมีวัตถุประสงค์ในการบริการจัดการฐานข้อมูลของภาคราชการให้มีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะสำเร็จได้ก็โดยการบูรณาการทุกระบบให้กับการทุมงบประมาณให้แก่ทรัพยากรบุคคลและเครื่องมือ
เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วจะเห็นได้ว่าการที่เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จข้างต้นได้เนื่องจากการมีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ดีมีประสิทธิภาพอันเป็นผลมาจากการมีนโยบายในเรื่องของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ชัดเจน
มีการทุ่มเทงบประมาณและการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มีการประชาสัมพันธ์และการฝึกอบรมผู้ใช้งาน
และมีข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งว่าการปฏิรูประบบการให้บริการของภาคราชการดังกล่าวมิได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างขององค์กรหรือวิธีปฏิบัติราชการที่มีอยู่เดิมมากนัก
แต่เป็นการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์กับการให้บริการของทางราชการ
ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีกับประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย
ความสำเร็จของโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงการทำงานของรัฐบาลที่เกิดผลดีต่อประชาชนและภาคธุรกิจ
การบริหารงานราชการที่มีประสิทธิภาพนี้ทำให้ความสามารถในการผลิตของภาคเอกชนเพิ่มสูงขึ้น
ลดภาระที่ไม่จำเป็นแก่ประชาชนและข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน
ยกระดับความสามารถในการแข่งขันของชาติเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาวและจากโครงการนี้
คือตำตอบของคำถามที่ว่า จะทำให้การบริการของรัฐดีขึ้นได้อย่างไร