บุคคลล้มละลาย :
กรณีลักษณะต้องห้ามและเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง
นายยงยุทธ ภู่ประดับกฤต
นิติกร ๔
ศูนย์ข้อมูลกฎหมายกลาง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
บทคัดย่อ
การเป็นบุคคลล้มละลาย (being
a bankrupt)
ย่อมส่งผลกระทบต่อตัวบุคคลนั้นเอง ทั้งในด้านการจัดการทรัพย์สินและในด้านความสามารถ
โดยหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่เกี่ยวกับการเป็นบุคคลล้มละลายล้วนแต่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช ๒๔๘๓ ดังนั้น
ในการพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นบุคคลล้มละลายจึงต้องใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นหลักในการพิจารณา แต่อย่างไรก็ตาม
กรณีของผลภายหลังจากการที่ตกเป็นบุคคลล้มละลายนั้น
ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ เท่านั้น
เนื่องจากในกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับได้กำหนดผลของการเป็นบุคคลล้มละลายไว้ด้วยเช่นกัน
ซึ่งกรณีที่พบบ่อยครั้งที่สุด คือ การกำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามของการดำรงตำแหน่งและเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง
ซึ่งการที่กฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้น ทำให้หลายฝ่ายเกิดข้อสงสัยว่า
การเป็นบุคคลล้มละลายที่จะทำให้บุคคลผู้นั้นพ้นจากการดำรงตำแหน่งเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใดและอย่างไร
รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้กระทำไปแล้วจะมีผลเพียงใด
บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์ที่จะตอบคำถามในประเด็นปัญหาข้างต้น ทั้งนี้
ผู้เขียนได้พิจารณาคำตอบของปัญหาโดยการศึกษาและค้นคว้าจากเอกสาร (documentary
research) เป็นหลัก โดยรวบรวมข้อมูลจากหนังสือ งานวิจัย กฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกา ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนข้อมูลทาง internet มาวิเคราะห์เปรียบเทียบกัน (comparative
and analytical approach)
จากการศึกษาพบว่า
เมื่อพิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมายล้มละลายแล้ว
สามารถแยกการล้มละลายออกได้เป็นสองส่วนด้วยกัน คือ
การล้มละลายที่มีผลเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและการล้มละลายที่มีผลเกี่ยวกับสถานภาพของบุคคล
ซึ่งการล้มละลายที่มีผลเกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลจะเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
และโดยลักษณะคดีล้มละลายที่ไม่มีการทุเลาการบังคับคดีดังเช่นคดีแพ่งสามัญ
ย่อมทำให้บุคคลนั้นต้องพ้นจากตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายโดยไม่จำต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อน
ส่วนการพ้นจากตำแหน่งในกรณีนี้มิได้มีผลกระทบกระเทือนถึงการใด ๆ
ที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่แต่อย่างใด ทั้งนี้
เป็นไปตามหลักการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.
๒๕๓๙
ผลของการศึกษายังชี้ให้เห็นว่า
การบัญญัติกฎหมายที่กำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามและเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งนั้น
อาจมีผลกระทบต่อสาระสำคัญของสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้
ซึ่งในประเด็นนี้ควรมีการศึกษาในเชิงลึกเพื่อการพัฒนาองค์ความรู้ที่เหมาะสมกับการร่างกฎหมายในอันที่จะไม่บัญญัติกฎหมายให้กระทบกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนโดยไม่จำเป็นต่อไป
ความนำ
กฎหมายของไทยหลายฉบับได้กำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง
กล่าวคือ
หากบุคคลใดอยู่ในสถานะเป็นบุคคลล้มละลายแล้วย่อมไม่สามารถที่จะสมัครรับเลือกหรือได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่ง
และการเป็นบุคคลล้มละลายยังเป็นเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งด้วย เช่น
กรณีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ได้บัญญัติเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ในมาตรา
๑๐๙ (๒) ว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้
เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ ...
(๒) เป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดี
หรือกรณีการดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ อาทิ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ก็กำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดีเป็นลักษณะต้องห้ามของการดำรงตำแหน่งไว้ด้วยเช่นกัน
บางกรณีกฎหมายยังใช้ถ้อยคำว่า เป็นบุคคลล้มละลาย
โดยไม่ได้กำหนดไว้ว่าต้องเป็นกรณีซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดี เช่น มาตรา ๗ (๙)
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒
ที่บัญญัติว่า ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้
... (๙) เป็นบุคคลล้มละลาย
หรือกรณีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ ตามมาตรา ๙ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นต้น ซึ่งในประเด็นนี้คงต้องมีข้อพิจารณาว่ารวมถึงบุคคลล้มละลายซึ่งศาลสั่งให้พ้นจากคดีแล้วด้วยหรือไม่
โดยส่วนใหญ่เมื่อกฎหมายกำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามในการเข้าสู่ตำแหน่งหรือการดำรงตำแหน่งแล้วก็จะกำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งนั้น
ๆ ด้วย
หรือหากไม่ได้กำหนดไว้เป็นลักษณะต้องห้ามในการเข้าสู่ตำแหน่งหรือการดำรงตำแหน่งก็จะกำหนดไว้ให้เป็นเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง
เช่น มาตรา ๑๐๙ (๒) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
กำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดีเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กรณีนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก็จะกำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดีเป็นเหตุแห่งการสิ้นสุดสมาชิกภาพไว้ด้วย
ดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๑๑๘ (๕) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ความว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง
เมื่อ ... (๕) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๐๙ ... (๒) ...
เป็นต้น
ประเด็นที่ควรพิจารณากันในที่นี้ คือ
กรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดมีสถานะเป็นบุคคลล้มละลายแล้วภายหลังจากที่ได้ดำรงตำแหน่งนั้น
บุคคลเหล่านี้ต้องพ้นจากตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่ตั้งแต่เมื่อใด
ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาที่พบได้บ่อยครั้งและมีการหารือในปัญหาดังกล่าวต่อคณะกรรมการกฤษฎีกา
อีกทั้งยังมีปัญหาต้องพิจารณาถึงผลของการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้กระทำไป
รวมถึงความเหมาะสมในการที่จะบัญญัติลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งโดยอาศัยเหตุว่าเป็นบุคคลล้มละลายไว้ในกฎหมายด้วย
สำหรับเนื้อหาของบทความนี้ ผู้เขียนเริ่มต้นหัวข้อที่ ๑
ด้วยการนำเสนอหลักเกณฑ์การเป็นบุคคลล้มละลายตามกฎหมายอย่างสังเขป
เพื่อเป็นพื้นฐานความเข้าใจสำหรับผู้อ่านที่อาจไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายล้มละลายมาก่อน
จากนั้นจะอธิบายถึงการเริ่มต้นล้มละลาย การพ้นจากตำแหน่ง
และผลของการปฏิบัติหน้าที่ ส่วนในหัวข้อที่ ๒
จะได้กล่าวถึงข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับบทกฎหมายที่บัญญัติให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง
โดยผู้เขียนคาดหวังว่าเนื้อหาในส่วนนี้คงมีส่วนช่วยให้เกิดแนวคิดในการปรับปรุงและพัฒนาการร่างกฎหมายของประเทศไทยได้ในอนาคต
และประการสุดท้าย ในหัวข้อที่ ๓
จะได้นำเสนอถึงบทสรุปและข้อเสนอแนะตามลำดับต่อไป
๑. การเป็นบุคคลล้มละลาย
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบุคคลล้มละลายนั้น
ต้องอาศัยหลักเกณฑ์ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
ซึ่งเป็นกฎหมายที่บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการที่เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ของตนให้ตกเป็นบุคคลล้มละลาย
และบัญญัติถึงวิธีการต่าง ๆ ในการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ภายหลังที่ศาลได้มีคำสั่ง
หรือคำพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว มาเป็นหลักในการวินิจฉัยปัญหาต่าง ๆ
เกี่ยวกับบุคคลล้มละลาย โดยในเบื้องต้นการที่บุคคลใดจะตกเป็นบุคคลล้มละลายนั้น
ต้องปรากฏเสียก่อนว่าบุคคลนั้นมีฐานะเป็นลูกหนี้และต้องปรากฏว่ามีมูลเหตุตามที่กฎหมายกำหนดซึ่งศาลจะพิพากษาให้ล้มละลายได้
๑.๑
มูลเหตุที่ศาลจะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
กฎหมายได้บัญญัติมูลเหตุที่ศาลจะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายไว้ในมาตรา
๗ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ว่า ลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอาจถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายได้
ถ้าลูกหนี้นั้นมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร
หรือประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนในขณะที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย
หรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น
จากบทบัญญัติข้างต้นนี้
จึงอาจแยกองค์ประกอบของมูลเหตุที่ศาลจะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ ดังนี้
๑.๑.๑ ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
คำว่า ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
ไม่มีบทวิเคราะห์ศัพท์ไว้โดยเฉพาะ
ในความหมายทั่วไปย่อมหมายถึงบุคคลที่มีทรัพย์สินน้อยกว่าหนี้สินหรือจะเรียกว่าบุคคลที่มีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ก็ได้
การที่จะรู้ได้ว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่
จำต้องพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของทรัพย์สินและหนี้สินของลูกหนี้ว่ามีเท่าไรอันเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์
มาตรา ๘
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
จึงได้กำหนดข้อสันนิษฐานว่ามีเหตุใดบ้างที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
ซึ่งบัญญัติไว้ให้เห็นเป็นสังเขปเท่านั้นว่า
ถ้ามีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังสันนิษฐานไว้เกิดขึ้นให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
แต่หากมีเหตุอื่นเกิดขึ้นนอกจากที่ระบุไว้แล้วศาลอาจถือว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวได้
เช่น จำเลยนอกจากจะไม่ใช้หนี้โจทก์แล้ว ยังมีเจ้าหนี้อื่นที่จำเลยไม่ใช้หนี้เหมือนกัน
ทั้งทรัพย์สินของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่ามีเท่าใดแน่
เป็นต้น
๑.๑.๒ ในขณะที่มีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย
หรือภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีก่อนนั้น ลูกหนี้นั้นมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักร
หรือประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทน
หมายความว่า
ลูกหนี้จะต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือภายในหนึ่งปีก่อนฟ้อง
หรือลูกหนี้ประกอบธุรกิจในราชอาณาจักรไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยตัวแทนขณะที่ยื่นคำฟ้องหรือภายในหนึ่งปีก่อนฟ้อง
เจ้าหนี้จึงจะสามารถฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้
๑.๒ หลักเกณฑ์การฟ้องคดีล้มละลาย
พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
ได้แบ่งหลักเกณฑ์การฟ้องคดีล้มละลายไว้สองประเภท กล่าวคือ
๑.๒.๑ การฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้ธรรมดา
ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ดังนี้
(๑) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
(๒)
ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท
หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท
(๓) หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม
คำว่า หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน
หมายถึง หนี้ที่เจ้าหนี้กับลูกหนี้ตกลงกำหนดจำนวนกันไว้แน่นอน เช่น
หนี้ตามสัญญาซื้อขาย หนี้เงินกู้ เป็นต้น
กรณีหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งแม้คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุดก็ถือว่าเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนด้วย
เพราะว่าคู่ความยังต้องผูกพันในผลของคำพิพากษาจนกว่าคำพิพากษานั้นจะถูกเปลี่ยนแปลง
แก้ไข กลับหรืองดเสีย
ส่วนหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้แน่นอน เช่น หนี้ค่าเสียหายที่เกิดจากมูลละเมิดหรือจากการผิดสัญญา
เป็นต้น
๑.๒.๒ การฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้มีประกัน
ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ในมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ดังนี้
(๑)
ต้องเข้าหลักเกณฑ์การฟ้องคดีล้มละลายของเจ้าหนี้ธรรมดาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
(๒)
เจ้าหนี้มีประกันต้องมิได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน
ซึ่งกรณีนี้ก็คือ เจ้าหนี้ผู้รับจำนองที่ไม่มีข้อสัญญาเป็นพิเศษว่าลูกหนี้จะต้องรับผิดในหนี้ที่ขาดอยู่หลังบังคับจำนอง
(๓) เจ้าหนี้มีประกันต้องกล่าวในฟ้องว่า
ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย
หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว
เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท
หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท
หากเจ้าหนี้มีประกันไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในข้อนี้ถือว่าเป็นการฟ้องคดีล้มละลายโดยมิชอบ
ศาลจะไม่รับฟ้องนั้นไว้พิจารณา
อนึ่ง คำว่า เจ้าหนี้มีประกัน
นั้น มาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ได้ให้นิยามว่า เจ้าหนี้มีประกัน
หมายความว่า เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนอง จำนำ
หรือสิทธิยึดหน่วง
หรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำ
จากนิยามดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเจ้าหนี้มีประกันตามกฎหมายล้มละลายคือเจ้าหนี้ที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน
และต้องเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น
กรณีจึงแตกต่างจากเจ้าหนี้มีประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่อาจมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันของผู้ใดก็ได้รวมทั้งเจ้าหนี้ที่มีบุคคลเป็นผู้ค้ำประกันด้วย
๑.๓
หลักเกณฑ์การวินิจฉัยชี้ขาดคดีล้มละลาย
มาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช
๒๔๘๓ ได้กำหนดหลักเกณฑ์การวินิจฉัยชี้ขาดคดีล้มละลายว่า ในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้นั้น
ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
แต่ถ้าไม่ได้ความจริงหรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย
ให้ศาลยกฟ้อง และเนื่องจากคดีล้มละลายเป็นคดีที่ฟ้องให้จัดการทรัพย์สินของบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายของบุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น
การพิจารณาคดีล้มละลายไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อจะชี้ขาดหรือพิพากษาบังคับให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์โดยเฉพาะ
จึงย่อมผิดแผกแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญเพราะประเด็นสำคัญในคดีล้มละลายมีอยู่ว่าจำเลยซึ่งถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้โจทก์จำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท
สำหรับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หรือไม่น้อยกว่าสองล้านบาท
สำหรับจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคล หรือไม่
หากศาลพิจารณาได้ความจริงเช่นนั้นก็ต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด
หากพิจารณาไม่ได้ความจริงหรือแม้ได้ความจริงแต่จำเลยนำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้อง ดังนั้นการพิจารณาคดีล้มละลายศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาได้เพียง
๒ ประการ คือ มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือพิพากษายกฟ้องเท่านั้น
โดยไม่เปิดช่องให้ศาลมีคำวินิจฉัยในประเด็นอื่นใดนอกเหนือไปจากที่กล่าวได้
๑.๓.๑ ให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ถ้าปรากฏว่า
(๑) การพิจารณาไม่ได้ความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๙ หรือมาตรา ๑๐ และเมื่อการพิจารณาคดีล้มละลายแตกต่างกับการพิจารณาคดีแพ่งสามัญ
เพราะเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
มีผลในทางตัดเสรีภาพของผู้ที่ถูกศาลพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ศาลจึงต้องพิจารณาให้ได้ความจริงว่ามีเหตุที่จะฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลาย
โดยไม่จำต้องถือเคร่งครัดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(๒) ลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด คือ
การที่ลูกหนี้แสดงได้ว่าตนอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด
แม้การพิจารณาจะได้ความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐ ก็ตาม
ศาลต้องยกฟ้อง
เพราะการฟ้องคดีให้ลูกหนี้ล้มละลายเป็นการฟ้องขอให้จัดการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อแบ่งเฉลี่ยให้แก่เจ้าหนี้ตามส่วน
หากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ก็ไม่จำเป็นต้องรวบรวมทรัพย์สินดังกล่าว
(๓) มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย
กรณีนี้เป็นดุลพินิจของศาลที่จะไม่พิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายเพราะมีเหตุอันสมควร
แม้ว่าในการพิจารณาจะได้ความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐ ก็ตาม
เช่น หนี้ตามฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ
ถือได้ว่าเป็นเหตุที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้
เป็นต้น
๑.๓.๒
ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
ถ้าได้ความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐ แล้วแต่กรณี
ประกอบกับลูกหนี้นำสืบไม่ได้ว่าตนอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมด
และไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลาย
มีข้อสังเกตว่า มาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ได้ให้นิยามคำว่า พิทักษ์ทรัพย์
หมายความว่า พิทักษ์ทรัพย์สินไม่ว่าเด็ดขาดหรือชั่วคราว
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายจึงมีได้สองคำสั่ง คือ
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวและคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่หากใช้คำว่าพิทักษ์ทรัพย์และในคดีนั้นศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวและคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
คำว่าพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนั้นจะหมายความรวมทั้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวและคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดด้วย
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว
เป็นวิธีการชั่วคราวก่อนวินิจฉัยชี้ขาดคดี โดยมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช ๒๔๘๓ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด
เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราวก็ได้
เมื่อศาลได้รับคำร้องนี้แล้วให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยทันที
ถ้าศาลเห็นว่าคดีมีมูล ก็ให้สั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราว
แต่ก่อนจะสั่งดังว่านี้
จะให้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ให้ประกันค่าเสียหายของลูกหนี้ตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้
โดยคำว่า คดีมีมูล
ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้
ซึ่งเป็นบทว่าด้วยการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาเพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้ในระหว่างนั้น
มีความหมายว่ามีมูลที่จะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้หาได้หมายความเพียงมีมูลเป็นหนี้สินกันอยู่จริงแต่อย่างเดียวไม่
นอกจากนี้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวก็มีได้เฉพาะในศาลชั้นต้นเท่านั้น
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
เป็นคำสั่งที่ศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี
เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ตามฟ้อง
ศาลจะมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ซึ่งมีผลอย่างคำพิพากษา ทั้งนี้ เพราะคดีล้มละลายนั้นเมื่อได้ความจริงตามฟ้องของโจทก์แล้วศาลจะพิพากษาให้จำเลยล้มละลายทันทีไม่ได้
แต่จะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดเสียก่อนเพื่อให้โอกาสจำเลยที่จะขอประนอมหนี้
ถ้าการประนอมหนี้เป็นผลสำเร็จ จำเลยก็จะไม่ต้องถูกพิพากษาให้ล้มละลาย
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นอันถูกยกเลิกเพิกถอนไปในตัว
ต่อเมื่อการประนอมหนี้ไม่สำเร็จหรือจำเลยไม่ยื่นคำขอประนอมหนี้
ศาลจึงจะพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายต่อไป
๑.๔
การเริ่มต้นล้มละลายและการพ้นจากตำแหน่ง
เมื่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีล้มละลายได้มีคำพิพากษาให้บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว
บุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนั้นตั้งแต่เมื่อใด
กรณีนี้จึงมีความจำเป็นที่ต้องพิจารณาก่อนว่าการเป็นบุคคลล้มละลายของบุคคลผู้นั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด
กล่าวคือ จะเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
และถ้าหากการเป็นบุคคลล้มละลายเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
คำพิพากษาที่ให้บุคคลนั้นตกเป็นบุคคลล้มละลายจะต้องเป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดหรือไม่
เมื่อพิจารณามาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ซึ่งบัญญัติว่า การล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ปัญหาตามมาตรานี้ คือ คำว่า การล้มละลาย
มีความหมายอย่างไร ในเรื่องนี้ปรากฏว่านักกฎหมายมีความเห็นแยกออกเป็นสองฝ่าย คือ
ฝ่ายที่หนึ่ง
เห็นว่า การล้มละลายเป็นผลของคำพิพากษาให้ล้มละลาย
เพราะฉะนั้นการล้มละลายจะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าหากศาลยังไม่ได้พิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา ๖๑
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
ความเห็นของนักกฎหมายฝ่ายนี้ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๔๘/๒๔๙๘
ซึ่งวินิจฉัยว่า
...
ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นนั้นศาลยังมิได้พิพากษาให้ผู้ร้องล้มละลายแต่อย่างใด
แม้เมื่อศาลชั้นต้นสั่งคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องก็ยังไม่ได้เป็นบุคคลล้มละลาย
จึงไม่มีการล้มละลายอย่างใดที่ศาลจะมีคำสั่งยกเลิกได้ ...
ซึ่งหากพิจารณาตามนัยแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๗๔๘/๒๔๙๘ น่าจะหมายความว่าเมื่อศาลยังมิได้พิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
ลูกหนี้ก็ยังไม่ใช่บุคคลล้มละลายและจะมาขอให้ศาลยกเลิกการล้มละลายไม่ได้
จึงเท่ากับว่าการล้มละลายต้องเกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
ฝ่ายที่สอง
เห็นว่า แม้ศาลยังไม่ได้พิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้แล้ว
ถือว่าการล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ความเห็นของนักกฎหมายฝ่ายนี้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๙๗ - ๑๘๙๘/๒๕๓๑
ซึ่งวินิจฉัยว่า
...
แม้คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวยังไม่ถึงที่สุด
แต่เหตุที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์เป็นเพราะโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เกินกำหนดเวลาตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๙๑ วรรคแรก เท่ากับคดีนี้ไม่มีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้
การดำเนินคดีล้มละลายนี้ต่อไปจึงไม่เป็นประโยชน์แก่เจ้าหนี้
ถือได้ว่าเป็นเหตุที่จำเลยไม่สมควรถูกพิพากษาให้ล้มละลาย
ศาลชอบที่จะสั่งยกเลิกการล้มละลายได้ ตามมาตรา ๑๓๕ (๒) ...
โดยที่เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช ๒๔๘๓ กำหนดให้มีการพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดก่อน
ก็เพราะจะให้โอกาสลูกหนี้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายได้
ซึ่งถ้าหากปรากฏว่าลูกหนี้ขอประนอมหนี้สำเร็จ
ลูกหนี้จะไม่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย ดังนั้นการตีความมาตรา ๖๒
ว่าการล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นทันทีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้นควรหมายความเฉพาะการล้มละลายที่เกี่ยวกับการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้นที่มีผลทันที
ส่วนการเป็นบุคคลล้มละลายของลูกหนี้ยังไม่เริ่มต้นขึ้น
เพราะการเป็นบุคคลล้มละลายของลูกหนี้นั้นเป็นเรื่องสถานภาพของบุคคล
ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้พิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายจะถือว่าลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายโดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา
๖๒ นี้ไม่ได้ เพราะหากตีความมาตรา ๖๒ ให้รวมไปถึงสถานภาพของบุคคล
คือการเป็นบุคคลล้มละลายของลูกหนี้ด้วย
การที่กฎหมายล้มละลายบัญญัติให้มีการพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดก่อนพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายย่อมไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
กรณีเกี่ยวกับการใช้มาตรา ๖๒ บังคับแก่คดีต่าง ๆ นั้น ได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่
๗๖๓/๒๕๒๗ วินิจฉัยในประเด็นของคำว่า ล้มละลาย
ตามมาตรา ๑๑๕๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติว่า ถ้ากรรมการคนใดล้มละลาย
... กรรมการคนนั้นเป็นอันขาดจากตำแหน่ง
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า
การให้กรรมการบริษัทจำกัดขาดจากตำแหน่งตามความในมาตรานี้เนื่องจากสถานะบุคคลของกรรมการเปลี่ยนแปลงไป
โดยตกเป็นบุคคลล้มละลายหรือเป็นผู้ไร้ความสามารถ คำว่า ล้มละลาย
ในที่นี้หมายถึงศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว
การที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเป็นเพียงคำสั่งชั้นหนึ่งก่อนที่จะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
เพื่อให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้และดำเนินการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
พุทธศักราช ๒๔๘๓ ไปก่อน
แต่ถ้าหากลูกหนี้ทำการประนอมหนี้เป็นผลสำเร็จก็จะไม่ถูกพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายต่อไป ฉะนั้น
การที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจึงถือไม่ได้ว่าลูกหนี้ตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว
ส่วนที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๖๒ บัญญัติว่า
การล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นั้น
เป็นเรื่องผลเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้และการดำเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าวโดยเฉพาะ
หามีผลให้สถานะบุคคลของลูกหนี้เปลี่ยนเป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไปด้วยไม่
...
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า
แม้การล้มละลายของลูกหนี้จะเริ่มต้นทันทีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายเสียก่อน
แต่การล้มละลายที่เริ่มต้นทันทีตามมาตรา ๖๒ นี้
หมายความเฉพาะการล้มละลายที่เกี่ยวกับอำนาจการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น
มิได้หมายความรวมถึงสถานภาพของลูกหนี้ด้วย
เพราะสถานภาพของลูกหนี้คือการเป็นบุคคลล้มละลายนั้นจะเริ่มต้นเมื่อศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วเท่านั้น
และการเป็นบุคคลล้มละลายของลูกหนี้จะไม่มีผลย้อนหลังไปเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา
๖๒ เพราะเรื่องสถานภาพของบุคคลกับอำนาจในการจัดการทรัพย์สินนั้นแตกต่างกัน เช่นนี้ เมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ศาลได้มีคำพิพากษาให้บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดเป็นบุคคลล้มละลาย
ย่อมทำให้สถานภาพของบุคคลนั้นเปลี่ยนเป็นบุคคลล้มละลายตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาให้ล้มละลาย
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อมาก็คือ
ถ้าหากการเป็นบุคคลล้มละลายเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
คำพิพากษาของศาลจะต้องเป็นคำพิพากษาที่ถึงที่สุดหรือไม่ กรณีนี้ผู้เขียนเห็นว่า
เนื่องจากคดีล้มละลายมีความแตกต่างจากคดีแพ่งสามัญหลายประการ เช่น
เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวที่มีอำนาจจัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้
ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙
ประกอบกับมาตรา ๒๒
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ หรือคดีล้มละลายต้องพิจารณาเป็นการด่วน
ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓
แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ เป็นต้น นอกจากนี้
คำพิพากษาคดีล้มละลายกับคำพิพากษาคดีแพ่งสามัญก็มีความแตกต่างกัน คือ
คดีแพ่งสามัญบังคับเฉพาะทรัพย์สินของลูกหนี้ ส่วนคดีล้มละลายนอกจากจะกระทบกับทรัพย์สินของลูกหนี้แล้ว
ยังกระทบถึงความสามารถในการจัดการทรัพย์สินและเสรีภาพของลูกหนี้โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาเหมือนดังคดีแพ่งสามัญ
เช่น กรณีตามมาตรา ๖๗ (๓) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
ที่บัญญัติว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้หรือพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้ว
และยังไม่ได้สั่งปลดจากล้มละลาย ... (๓)
ลูกหนี้จะออกไปนอกราชอาณาจักรไม่ได้
เว้นแต่ศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะอนุญาตเป็นหนังสือ และถ้าจะย้ายที่อยู่
ต้องแจ้งตำบลที่อยู่ใหม่เป็นหนังสือให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบภายในเวลาอันสมควร
จึงเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
หาได้ประสงค์ให้มีการทุเลาการบังคับในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์หรือฎีกาดังเช่นคดีแพ่งสามัญไม่
เมื่อศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้วสภาพบุคคลของลูกหนี้จะตกเป็นบุคคลล้มละลายทันที
โดยไม่จำต้องรอคำพิพากษาของศาลสูงก่อน
ในกรณีดังกล่าวนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยวินิจฉัยถึงการพ้นจากตำแหน่งโดยเหตุเป็นบุคคลล้มละลายไว้ในกฎหมายหลายฉบับ
เช่น
กรณีตามพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๓ ในบันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง
การสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(เรื่องเสร็จที่ ๑๑๖/๒๕๔๘) ซึ่งได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่า
การที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำพิพากษาให้สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติผู้หนึ่งเป็นบุคคลล้มละลาย
แต่ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว
สมาชิกผู้นั้นจะเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือไม่
และตั้งแต่เมื่อใด นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๑) ในเรื่องเสร็จที่ ๑๑๖/๒๕๔๘
มีความเห็นโดยสรุปว่า เมื่อพระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๓
กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติว่า
ต้องไม่เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดี
และได้กำหนดให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติ ในกรณีนี้ เมื่อศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและมีคำพิพากษาให้ล้มละลาย
ซึ่งการจะเป็นบุคคลล้มละลายนั้นได้มีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๖๓/๒๕๒๗ (ประชุมใหญ่)
พิพากษาว่า คำว่า ล้มละลาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๕๔ หมายถึง ศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว ดังนั้น
แม้ว่าสมาชิกผู้นั้นได้อุทธรณ์คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและยังอยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ก็ตาม
ย่อมถือได้ว่ามีลักษณะต้องห้ามในการเป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และจะต้องพ้นจากตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่วันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาว่าเป็นบุคคลล้มละลายเป็นต้นไป
กล่าวโดยสรุป
เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดถูกศาลพิพากษาให้ตกเป็นบุคคลล้มละลาย
หากกฎหมายนั้นบัญญัติให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง
บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งและจะต้องพ้นจากตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเป็นต้นไป
แม้จะเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตามโดยไม่จำต้องรอให้คดีถึงที่สุดก่อน
เพราะในคดีล้มละลายไม่มีการทุเลาการบังคับคดีระหว่างการอุทธรณ์ดังเช่นคดีแพ่งสามัญ
๑.๕
ผลของการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งได้กระทำไป
เมื่อผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดต้องพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามแล้ว
แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้นั้นยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวอยู่เนื่องจากเข้าใจว่าตนยังไม่พ้นจากตำแหน่ง
กรณีดังกล่าวนี้หากกฎหมายนั้นมิได้กำหนดว่าเมื่อมีการออกจากตำแหน่งภายหลังจากที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามแล้ว
การที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่จะเกิดผลอย่างไร ผู้เขียนเห็นว่า
การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใด ๆ ที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่
เพราะหากให้การกระทำนั้นเสียไปก็จะทำให้ระบบการปกครองและการบริหารหรือการดำเนินการตามกฎหมายเกิดความยุ่งเหยิง
กรณีนี้ควรนำพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ซึ่งเป็นกฎหมายกลางและสามารถนำมาอนุโลมใช้บังคับได้ในกรณีที่กฎหมายเฉพาะนั้นมิได้กำหนดไว้
มาใช้บังคับ โดยมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ได้บัญญัติรองรับหลักการดังกล่าวว่า
การที่บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งโดยขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ต้องพ้นจากตำแหน่งนั้น ไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ แต่อย่างไรก็ตาม
กรณีของค่าตอบแทนที่ผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้รับไปในระหว่างที่ตนพ้นจากตำแหน่งไปแล้วแต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่
ควรต้องคำนึงถึงหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา ๕๓ วรรคสี่
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ประกอบกับหลักความเชื่อโดยสุจริต และหลักเรื่องลาภมิควรได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๕๑
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ด้วย
ซึ่งในกรณีผลของการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งได้กระทำไปนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา
(คณะที่ ๑) ในเรื่องเสร็จที่ ๑๑๖/๒๕๔๘ ได้วินิจฉัยว่า
...
ในกรณีดังกล่าวนี้พระราชบัญญัติสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๓
มิได้กำหนดไว้ว่าเมื่อมีการออกจากตำแหน่งภายหลังจากสมาชิกภาพสิ้นสุดลงจะเกิดผลอย่างไร
กรณีจึงต้องอาศัยบทบัญญัติของกฎหมายที่ใกล้เคียงมาอนุโลมใช้
ซึ่งปรากฏว่าพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๙ ว่า
ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง
การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยยังกำหนดหลักการทำนองเดียวกันไว้สำหรับกรณีของสมาชิกรัฐสภาด้วย
...
สำหรับหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่คณะกรรมการกฤษฎีกา
(คณะที่ ๑) อ้างถึงประกอบความเห็นนั้น ปรากฏอยู่ในมาตรา ๙๗
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งบัญญัติว่า การออกจากตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาภายหลังวันที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลง
หรือวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลง
ย่อมไม่กระทบกระเทือนกิจการที่สมาชิกผู้นั้นได้กระทำไปในหน้าที่สมาชิก
รวมทั้งการได้รับเงินประจำตำแหน่งหรือประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นก่อนที่สมาชิกผู้นั้นออกจากตำแหน่ง
หรือก่อนที่ประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
แล้วแต่กรณี
เว้นแต่ในกรณีที่ออกจากตำแหน่งเพราะเหตุที่ผู้นั้นได้รับเลือกตั้งมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา
ให้คืนเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นที่ผู้นั้นได้รับมาเนื่องจากการดำรงตำแหน่งดังกล่าว
๒.
ข้อควรพิจารณาบางประการเกี่ยวกับการกำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากการเป็นบุคคลล้มละลาย
กฎหมายได้กำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากการเป็นบุคคลล้มละลายโดยใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกัน
๓ แบบ คือ
แบบที่ ๑ เป็นบุคคลล้มละลาย
แบบที่ ๒ ไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลาย
แบบที่ ๓ ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
การกำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งโดยเหตุของการเป็นบุคคลล้มละลายดังกล่าวจะนำมาใช้สำหรับบุคคลในสามกรณี
คือ
๒.๑
การกำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งในกรณีของกรรมการ
การกำหนดกลไกในกฎหมายเพื่อบริหารกฎหมายหรือให้มีการบังคับการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย
ในบางครั้งมีความจำเป็นต้องใช้กลไกของคณะกรรมการในกฎหมายเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ เช่น
คณะกรรมการที่กำหนดขึ้นเพื่อให้มีอำนาจในการจัดการ
คณะกรรมการที่มีอำนาจในการตัดสิน เป็นต้น
และปรากฏว่ากฎหมายส่วนใหญ่ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการไว้ในกฎหมายค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม
การที่จะกำหนดให้มีคณะกรรมการในกฎหมายนั้นมิใช่ว่าจะเหมาะสมในทุกกรณี
เพราะคณะกรรมการเป็นวิธีการบริหารจัดการอย่างหนึ่ง
บางครั้งอาจมีความเหมาะสมและจำเป็นที่จะต้องมีคณะกรรมการจัดการกับปัญหาในบางเรื่อง
แต่บางกรณีอาจไม่มีความเหมาะสมที่จะใช้คณะกรรมการเป็นผู้แก้ปัญหา
และโดยที่กรรมการเป็นองค์ประกอบหนึ่งของคณะกรรมการซึ่งเป็นการดำรงตำแหน่ง
ไม่ได้เป็นการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพซึ่งเป็นเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติรับรองไว้
กฎหมายจึงสามารถกำหนดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามสำหรับการปฏิบัติงานได้ตามความเหมาะสม
แต่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดห้ามผู้ที่ เคยเป็นบุคคลล้มละลาย
เข้าดำรงตำแหน่งใด เช่น มาตรา ๕ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘
ซึ่งบัญญัติว่า กรรมการของรัฐวิสาหกิจนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนดไว้สำหรับรัฐวิสาหกิจนั้น
ๆ แล้ว ยังต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ด้วย ... (๔)
ไม่เป็นหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
ย่อมมีความแตกต่างจากกรณีที่กฎหมายกำหนดห้ามผู้ที่ เป็นบุคคลล้มละลาย
เพียงกรณีเดียวหรือกรณี เป็นบุคคลล้มละลายซึ่งศาลยังไม่สั่งให้พ้นจากคดี
เนื่องจากจะทำให้ผู้นั้นไม่มีโอกาสดำรงตำแหน่งได้เลยแม้ว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญเพียงใดก็ตามอันเป็นการบัญญัติกฎหมายที่เคร่งครัดมาก
ด้วยเหตุนี้ในการกำหนดคุณสมบัติสำหรับกรรมการที่ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามเนื่องจากการเป็นบุคคลล้มละลาย
จึงควรพิจารณาถึงเหตุผลและวัตถุประสงค์ของกฎหมายอย่างรอบคอบ เช่น
ในกรณีกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน การคลัง หรือการพาณิชย์
อาจจำเป็นที่จะต้องกำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง ทั้งนี้
เพราะการเป็นบุคคลล้มละลายย่อมแสดงให้เห็นอีกทางหนึ่งว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการด้านการเงิน
การคลัง หรือการพาณิชย์ ตามกฎหมายนั้นได้
๒.๒
การกำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งในกรณีของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ
การกำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งกรณีของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐ
เช่น มาตรา ๓๐ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕
ซึ่งบัญญัติว่า ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติทั่วไปดังต่อไปนี้
... (๙) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย กรณีอย่างนี้
นักกฎหมายบางส่วนเห็นว่า
การกำหนดในลักษณะดังกล่าวอาจไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เพราะอาจมีปัญหากระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ด้วยเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ
หรือจำกัดเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพที่เกินความจำเป็น
โดยอาจกระทบต่อสาระสำคัญของสิทธิและเสรีภาพตามมาตรา ๒๙
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้
ถ้าบุคคลเหล่านั้นไม่อาจเป็นข้าราชการหรือพนักงานของรัฐได้เลย
ทั้งที่ความสามารถในการจัดการทรัพย์สินไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่การงานแต่อย่างใด นอกจากนี้ ในบางกฎหมายได้ใช้ถ้อยคำว่า ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
เช่น มาตรา ๙ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือมาตรา ๒๔ (๘)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นต้น
ซึ่งถ้อยคำดังกล่าวมีความหมายใกล้เคียงกับการกำหนดว่าไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
หากแต่เพียงเข้าหลักเกณฑ์ของการมีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้วต้องพ้นจากตำแหน่งโดยไม่ต้องพิจารณาต่อไปว่าผู้นั้นตกเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่
และอาจมองว่าเป็นการบัญญัติกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้
กรณีข้าราชการฝ่ายตุลาการและข้าราชการฝ่ายอัยการก็ใช้คำว่า ไม่เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว
ด้วยเช่นกัน ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือมาตรา ๓๓
(๗)
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ. ๒๕๒๑
ซึ่งเป็นการกำหนดห้ามไว้ตั้งแต่ในชั้นการรับสมัครเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม
ในกรณีที่กำหนดไว้เช่นนั้นสำหรับข้าราชการฝ่ายตุลาการและข้าราชการฝ่ายอัยการย่อมไม่ถือว่าเป็นการนำฐานะทางเศรษฐกิจมาเป็นข้อจำกัดเสรีภาพในการประกอบอาชีพ
แต่เป็นการกำหนดเพื่อให้เหมาะสมกับศักดิ์ศรีของตำแหน่งข้าราชการดังกล่าว
เพราะข้าราชการทั้งสองประเภทเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายมีหน้าที่ในการรักษาความยุติธรรม
และมีหน้าที่ที่จะประกอบวิชาชีพนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความถูกต้องชอบธรรมในสังคม
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าจะต้องมีบทบาทสำคัญในอันที่จะผดุงความยุติธรรมให้คงอยู่ในสังคมให้จงได้
ในกรณีที่กฎหมายไม่อำนวยความยุติธรรม
ก็จะต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะประสาทความยุติธรรมให้จงได้ ทั้งโดยลำพังตนเอง
หรือโดยการผนึกกำลังของหมู่คณะเพื่ออุดมการณ์ร่วมกัน (professional
solidarity)
ซึ่งการที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้บรรลุจุดมุ่งหมายคือความยุติธรรมนั้น
ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยวิธีการอันบริสุทธิ์ ซึ่งความบริสุทธิ์คือความซื่อตรง (integrity)
อันเป็นความสำนึกและปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหน้าที่ของตน
ความซื่อตรงต่อหน้าที่นี้เป็นหน้าที่อันต้องมีต่อหลายฝ่าย
ซึ่งผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายนอกจากมีหน้าที่ต้องซื่อตรงต่อผู้อื่นแล้วยังมีหน้าที่ต้องซื่อตรงต่อตนเองประการหนึ่ง
คือ ผู้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายมีความจำเป็นในการหาเลี้ยงชีพเพื่อตนเองและครอบครัวกับผู้ที่ต้องพึ่งพาอาศัยตน
การงานจะดำเนินไปด้วยดีต้องตั้งต้นไปจากความเป็นปกติสุขในบ้านก่อน
เป็นหน้าที่ของนักกฎหมายต้องไม่ลืมปฏิบัติต่อตนเองให้มีการอยู่ดีกินดีตามควรแก่อัตภาพและต้องรักษาระดับการครองชีพให้เหมาะแก่ฐานะที่เป็นบุคคลในสังคมและที่เป็นนักกฎหมาย
ทั้งต้องไม่กระทำการใดอันเป็นการลดศักดิ์ศรีของวิชาชีพทางกฎหมายและลดประสิทธิภาพแห่งการอำนวยความยุติธรรม
เช่นนี้แล้วหากผู้ดำรงตำแหน่งตุลาการและอัยการเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวอาจถือได้ว่าเป็นการลดศักดิ์ศรีของวิชาชีพและย่อมนำมาซึ่งการลดประสิทธิภาพแห่งการอำนวยความยุติธรรมได้
อย่างไรก็ดี พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.
๒๕๔๗
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ประกาศใช้ตามหลังบรรดากฎหมายที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น
ก็ไม่ได้มีบทบัญญัติที่กำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งสำหรับผู้ที่รับราชการเป็นข้าราชการตำรวจ
และถึงแม้ว่าจะมีกฎหมายบางฉบับซึ่งประกาศใช้บังคับหลังพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ เช่น พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
ยังกำหนดให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งอยู่ก็ตาม
แต่แนวโน้มในการนำความเป็นบุคคลล้มละลายมากำหนดเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งของข้าราชการหรือพนักงานของรัฐในปัจจุบันดูจะผ่อนปรนลงไปประกอบกับมีข้อถกเถียงในทางวิชาการเพิ่มมากขึ้นถึงความเหมาะสมของการมีบทบัญญัติดังกล่าว อย่างไรก็ตาม
คงจะเป็นอำนาจของผู้เสนอร่างกฎหมายและฝ่ายนิติบัญญัติที่จะพิจารณาว่าบทบัญญัติที่กำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งโดยเหตุเพราะเป็นบุคคลล้มละลายนั้นสมควรที่จะกำหนดไว้สำหรับตำแหน่งใดในกฎหมายหรือไม่
เพียงไร
๒.๓
การกำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งในกรณีของผู้มาขออนุญาตจากทางราชการหรือกรรมการของภาคเอกชน
กฎหมายที่กำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งโดยเหตุเป็นบุคคลล้มละลายในกรณีนี้
เช่น มาตรา ๘ วรรคสาม (๒) แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
ซึ่งบัญญัติว่า
ในการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
(๒) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือมาตรา ๑๑ (๒)
แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึ่งบัญญัติว่า ผู้แทนชาวไร่อ้อยและผู้แทนโรงงานต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปนี้ ... (๒) ไม่เคยเป็นบุคคลล้มละลาย
ผู้เขียนเห็นว่า
กรณีของผู้มาขออนุญาตจากทางราชการหรือกรรมการของภาคเอกชนในบางกฎหมายไม่มีความจำเป็นต้องอาศัยความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการทางการเงินหรือธุรกิจ
เพราะแม้เป็นบุคคลล้มละลายก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้โดยไม่มีผลกระทบในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใด เช่นนี้
การจะกำหนดลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งโดยเหตุเป็นบุคคลล้มละลายในกรณีของผู้มาขออนุญาตจากทางราชการหรือกรรมการของภาคเอกชนจึงควรพิจารณาถึงความเหมาะสมโดยรอบคอบเหมือนอย่างทั้งสองกรณีข้างต้น
เพื่อป้องกันการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคล
ด้วยเหตุแห่งการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ
หรือจำกัดเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพ
จนถึงขั้นทำให้เป็นบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
๓. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓
กำหนดให้การล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นทันทีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
แต่คงมีความหมายเฉพาะการล้มละลายที่เกี่ยวกับอำนาจการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น
มิได้หมายความรวมถึงสถานภาพของลูกหนี้ด้วย
เพราะสถานภาพของลูกหนี้คือการเป็นบุคคลล้มละลายนั้นจะเริ่มต้นเมื่อศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายแล้วเท่านั้น
และการเป็นบุคคลล้มละลายของลูกหนี้จะไม่มีผลย้อนหลังไปเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
เพราะเรื่องสถานภาพของบุคคลกับอำนาจในการจัดการทรัพย์สินนั้นแตกต่างกัน ดังนั้น
เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาให้บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งตามที่กฎหมายกำหนดเป็นบุคคลล้มละลายย่อมทำให้สถานภาพของบุคคลนั้นเปลี่ยนเป็นบุคคลล้มละลายทันทีตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาให้ล้มละลาย
โดยไม่จำต้องรอคำพิพากษาของศาลสูงก่อนเพราะกฎหมายล้มละลายหาได้ประสงค์ให้มีการทุเลาการบังคับในระหว่างการพิจารณาดังเช่นคดีแพ่งสามัญ ดังนี้
หากปรากฏว่ากฎหมายบัญญัติให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง
บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งและจะต้องพ้นจากตำแหน่งนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายเป็นต้นไป
แม้จะเป็นเพียงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นก็ตาม
อย่างไรก็ดี
หากมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้นั้นยังคงปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวอยู่เนื่องจากเข้าใจว่าตนยังไม่พ้นจากตำแหน่ง
ในกรณีนี้หากกฎหมายนั้นมิได้กำหนดไว้ว่าเมื่อมีการออกจากตำแหน่งภายหลังจากสมาชิกภาพสิ้นสุดลงจะเกิดผลอย่างไร
จึงต้องนำบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ซึ่งมีสภาพเป็นกฎหมายกลางมาใช้บังคับ โดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้บัญญัติไว้เป็นหลักการว่า
ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง
การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่
นอกจากนี้
ผู้เขียนมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบัญญัติให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง
เพื่ออย่างน้อยอาจเป็นแนวทางในการพิจารณาร่างกฎหมายและพัฒนากฎหมายของไทย ดังนี้
กฎหมายของไทยได้นำเอาการเป็นบุคคลล้มละลายมาบัญญัติเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งไว้ในกฎหมายอยู่หลายฉบับ
ซึ่งการบัญญัติเช่นนั้นจะทำให้ผู้ที่เป็นบุคคลล้มละลายพ้นจากตำแหน่ง อาชีพ
หรือไม่สามารถดำเนินการตามที่กฎหมายอนุญาตต่อไปได้ ทั้งที่การดำรงตำแหน่งหรือการประกอบอาชีพนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องหรือมีผลกระทบหากว่าบุคคลนั้นจะมีสถานภาพเป็นบุคคลล้มละลายแต่อย่างใด
และในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ การเคยเป็นบุคคลล้มละลาย
เป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งนั้น ผู้เขียนเห็นว่า
เป็นการบัญญัติกฎหมายที่ค่อนข้างเคร่งครัดและเป็นการตัดโอกาสของบุคคลที่จะประกอบอาชีพหรือกระทำการอื่นใดตามที่กฎหมายอนุญาตไว้
ทั้งที่บุคคลนั้นพ้นจากสถานภาพของการเป็นบุคคลล้มละลายตามที่กฎหมายบัญญัติแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี ในบางกรณีกฎหมายย่อมมีความจำเป็นที่ต้องบัญญัติให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่ง
เช่น กรณีของกรรมการตามกฎหมายซึ่งต้องใช้ประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ
หรือความรู้ความสามารถในทางการเงินหรือทางธุรกิจ เป็นต้น
ดังนั้น
ในการพิจารณาร่างกฎหมายไม่ว่าจะเป็นชั้นของผู้เสนอร่างกฎหมาย ชั้นสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
หรือในชั้นสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ควรที่ต้องพิจารณาถึงเหตุผล ความจำเป็น
และเจตนารมณ์ในการมีกฎหมายนั้น ๆ อย่างละเอียดถี่ถ้วน
เนื่องจากการบัญญัติให้การเป็นบุคคลล้มละลายเป็นลักษณะต้องห้ามหรือเหตุแห่งการพ้นจากตำแหน่งในบางกฎหมายอาจมีความจำเป็นแต่ในบางกฎหมายอาจไม่มีความจำเป็นเลยก็ได้
เอกสารอ้างอิงและค้นคว้าเพิ่มเติม
เอกสารและหนังสือ
จิตติ ติงศภัทิย์. หลักวิชาชีพนักกฎหมาย.
พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพมหานคร :
โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๒.
ธรรมนิตย์ สุมันตกุล. แบบกฎหมายเกี่ยวกับคณะกรรมการ.
เอกสารประกอบการบรรยายโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักกฎหมายกฤษฎีกา รุ่นที่ ๓ ณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ๒๕๔๗.
ธานินทร์ กรัยวิเชียร. กฎหมายกับความยุติธรรม.
กรุงเทพมหานคร : สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์,
๒๕๔๗.
ปรีชา พานิชวงศ์. คำอธิบายกฎหมายล้มละลาย.
กรุงเทพมหานคร : นิติบรรณการ, ๒๕๔๓.
มูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย. กฎหมายที่มีบทบัญญัติไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ.
รายงานการศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ เสนอต่อ
คณะกรรมการปรับปรุงกฎหมายเพื่อการพัฒนาประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, ๒๕๔๗.
วิชัย วิวิตเสวี. กฎหมายล้มละลายและการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
: หลักกฎหมายจากคำพิพากษาฎีกา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : อธิศปวีณ,
๒๕๔๖.
เว็บไซต์และสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์
ข้อมูลกฎหมายและความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
สามารถสืบค้นได้ที่
เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
http://www.krisdika.go.th
ข้อมูลคำพิพากษาศาลฎีกา สามารถสืบค้นได้ที่
เว็บไซต์ศาลฎีกา
http://www.supremecourt.or.th/search.asp
ข้อมูลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
สามารถสืบค้นได้ที่
เว็บไซต์ศาลรัฐธรรมนูญ
http://www.concourt.or.th/concourt/04decis/04index.jsp
จิระนิติ
หะวานนท์. หลักธรรมวิชาชีพนักกฎหมาย. หลักวิชาชีพนักกฎหมาย.
http://e-book.ram.edu/e-book/l/lw438/lw438.htm [November 7th,
2005].
สำนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี. ประมวลจริยธรรมข้าราชการอัยการ.
http://www.chan.ago.go.th/moral.html
[November 7th, 2005].