การพิจารณาถึงผลบังคับใช้ของกฎหมายลำดับรองหรือกฎ
นายวิชัย สัตยชัยวรรณ
นักกฎหมายกฤษฎีกา ๕
ฝ่ายกฎหมายคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยทั่วไป เรามักเข้าใจกันว่า
การยกเลิกพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด ย่อมยกเลิกพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกโดยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายนั้นๆ
ไปในตัวด้วย เพราะแม่บทได้ถูกยกเลิกไปแล้ว
และพระราชกฤษฎีกาและกฎกระทรวงได้ออกมาเพื่อจะดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายแม่บทเท่านั้น
ฉะนั้น เมื่อพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนดถูกยกเลิกไป ก็เป็นอันยกเลิกพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงไปในตัวด้วย
เพราะนอกจากจะไม่มีประโยชน์ที่จะใช้บังคับต่อไปในเมื่อแม่บทได้ถูกยกเลิกไปแล้ว
การยกเลิกกฎหมายซึ่งมอบอำนาจย่อมจะทำให้พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจนั้นพลอยยกเลิกไปด้วย ดังนั้น หากมีความประสงค์ที่จะให้พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงเหล่านั้นยังใช้บังคับต่อไปได้
ก็จะต้องกำหนดไว้เป็นบทเฉพาะกาลเพื่อรองรับอำนาจตามพระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงนั้น
ซึ่งความเข้าใจเช่นนี้ก็เป็นหลักการใช้บังคับกฎหมายที่ถูกต้อง
แต่ปรากฏว่าความเข้าใจดังกล่าวนี้ก็ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งหมด
สืบเนื่องจากการตรวจพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกายกเลิกกฎหมายบางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน
พ.ศ. .... ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดทางหลวงให้เป็นทางหลวงที่ห้ามมิให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่ดินริมเขตทางหลวง
จำนวน ๓ ฉบับ โดยพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๓ ฉบับดังกล่าวออกโดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔๔
แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕
ซึ่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งฉบับ และในบทเฉพาะกาลมาตรา ๗๖
แห่งพระราชบัญญัติทางหลวงฯ
ได้บัญญัติรองรับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน
พระราชกฤษฎีกากำหนดแนวทางหลวงที่จะสร้าง
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีและประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดทางหลวงที่มีความจำเป็นต้องสร้างโดยเร่งด่วนซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ
ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕
ให้คงใช้บังคับได้ตามอายุของพระราชกฤษฎีกานั้น
แต่มิได้บัญญัติรองรับพระราชกฤษฎีกากำหนดทางหลวงให้เป็นทางหลวงที่ห้ามมิให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่ดินริมเขตทางหลวงไว้ด้วย
เรื่องนี้จึงมีประเด็นปัญหาว่า
เมื่อประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕
ได้ถูกยกเลิกแล้วโดยพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕
และมิได้มีบทเฉพาะกาลรองรับให้พระราชกฤษฎีกากำหนดทางหลวงให้เป็นทางหลวงที่ห้ามมิให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งในที่ดินริมเขตทางหลวงยังคงใช้บังคับได้ต่อไปไว้ด้วย
พระราชกฤษฎีกาทั้ง ๓ ฉบับจะยังมีผลใช้บังคับอยู่
และจะต้องตราพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๓ ฉบับอีกหรือไม่ อย่างไร
จากการตรวจสอบคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา
ปรากฏว่า คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๑)
ได้เคยวางแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยกรณีพระราชบัญญัติฉบับใดซึ่งได้มีบทบัญญัติให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงหรือตราพระราชกฤษฎีกาได้
แต่ต่อมาบทบัญญัติมาตรานั้นได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว
บรรดากฎกระทรวงและพระราชกฤษฎีกาที่ได้ออกและตราขึ้นโดยมาตรานั้นจะยังมีผลใช้ได้หรือไม่นั้น
ก็ต้องพิจารณาดูว่า บทบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นได้บัญญัติในหลักการเดิม
หรือได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติมหลักการเดิมเสียใหม่
ถ้าปรากฏว่ามิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักการเดิม บรรดากฎกระทรวง
พระราชกฤษฎีกาที่ได้ใช้อยู่แล้วนั้นก็ยังมีผลใช้บังคับได้ ไม่จำเป็นต้องออกกฎกระทรวงหรือตราพระราชกฤษฎีกาใหม่
แต่ถ้าหากว่าได้บัญญัติเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือเพิ่มเติมหลักการขึ้นใหม่แล้ว
กฎกระทรวงและพระราชกฤษฎีกาบรรดาที่ได้ตราขึ้นโดยอาศัยบทมาตรานั้นก็เป็นอันใช้ไม่ได้
จำเป็นจะต้องออกกฎกระทรวงและตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นใหม่ เพราะหลักการได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ฉะนั้น หลักการที่บัญญัติไว้ในกฎกระทรวงหรือพระราชกฤษฎีกาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงหรือตราพระราชกฤษฎีกาใหม่ นอกจากนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา
(กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ ๕ และกรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) ยังได้ใช้แนวทางดังกล่าวสำหรับการพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับผลบังคับใช้ของประกาศและคำสั่งที่ออกตามความในพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๑ ภายหลังจากที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.
๒๕๓๑
รวมทั้งการใช้บังคับประกาศผู้อำนวยการทางหลวงที่ออกตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.
๒๕๓๕ ไว้อีกด้วย
ในกรณีตามประเด็นปัญหานี้ พระราชกฤษฎีกาทั้ง ๓
ฉบับตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ ๔๔
แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๙๕ ลงวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๕
ซึ่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวได้ถูกยกเลิกโดยมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งฉบับ
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติในพระราชบัญญัติทางหลวงฯ ปรากฏว่า มาตรา ๔๘
แห่งพระราชบัญญัติทางหลวงฯ ได้บัญญัติโดยใช้เนื้อความเช่นเดียวกับมาตรา ๔๔
แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฯ แสดงให้เห็นว่า มาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติทางหลวงฯ
มิได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักการตามข้อ ๔๔ แต่อย่างใด ดังนั้น พระราชกฤษฎีกาทั้ง ๓
ฉบับจึงยังมีผลใช้บังคับอยู่ และจะต้องตราพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชกฤษฎีกาทั้ง ๓
ฉบับต่อไป
จากแนวทางการวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา
(กรรมการร่างกฎหมาย กองที่ ๑) ดังกล่าว จึงเป็นหลักการพิจารณาผลการใช้บังคับกฎหมายลำดับรองอีกกรณีหนึ่ง
ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
การพิจารณาถึงการดำรงอยู่ของกฎหมายลำดับรองหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ยกเลิกไปแล้ว
มีหลักเกณฑ์ที่จะต้องพิจารณา ดังนี้
๑. กฎหมายใหม่ที่ยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมนั้น
ได้บัญญัติบทเฉพาะกาลรองรับให้กฎหมายลำดับรองที่ออกและตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกยังคงใช้บังคับได้ต่อไปหรือไม่
อย่างไร
๒.
บทบัญญัติของกฎหมายที่ยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมนั้นได้บัญญัติหลักการเช่นเดียวกับบทบัญญัติของกฎหมายที่ถูกยกเลิกหรือไม่
หากปรากฏว่าบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นมิได้เปลี่ยนแปลงแก้ไขหลักการเดิม
บรรดากฎหมายลำดับรองหรือกฎที่ได้ใช้อยู่แล้วก็ยังมีผลใช้บังคับได้ต่อไป
ผู้เขียนเห็นว่า
หลักเกณฑ์ทางกฎหมายกรณีดังกล่าวนี้ เป็นหลักเกณฑ์ที่น่าสนใจ
นอกเหนือจากหลักการใช้บังคับกฎหมายที่เข้าใจกัน
จึงนำมาเผยแพร่ไว้เพื่อให้ได้รับทราบเป็นเกร็ดความรู้
เพื่อประโยชน์ในการตรวจพิจารณาร่างกฎหมายและการพิจารณาข้อหารือต่างๆ ทั้งนี้ ผู้เขียนเห็นว่า
ประเด็นปัญหาที่จะติดตามมาในกรณีนี้ก็คือ การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลำดับรองที่ออกหรือตราขึ้นโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายที่ถูกยกเลิกนั้น
จะดำเนินการอย่างไร ซึ่งจะได้ศึกษาและนำเสนอต่อไป