สิทธิ
และ เสรีภาพ
แท้จริงแล้วเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
นางสาวพงษ์พิลัย วรรณราช
๑. บทนำ
เมื่อกล่าวถึงสิทธิ (Right)
และเสรีภาพ (Liberty)
หลายคนคงเข้าใจว่าสิทธิและเสรีภาพเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้สืบเนื่องจากเรามองเพียงว่าเราได้แสดงอาการใช้สิทธิและเสรีภาพของเราออกไปอย่างไร
และมีใครมาโต้แย้งการใช้สิทธิและเสรีภาพของเราหรือไม่เท่านั้น
โดยไม่ได้พิจารณาถึงเนื้อหาว่าสิ่งที่กฎหมายรับรองให้นั้น มันเป็น สิทธิ
หรือเป็น เสรีภาพ กันแน่ ทั้งที่ความจริงแล้ว
สิทธิกับเสรีภาพก็มีความแตกต่างกันอยู่ เพราะหากว่าเป็นสิ่งเดียวกันแล้ว
ย่อมไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องใช้คำที่แตกต่างกัน
คำว่าสิทธิและเสรีภาพนี้
บ่อยครั้งได้ถูกนำมาเขียนหรือพูดติดกันเป็นคำเดียวกัน คือ สิทธิเสรีภาพ
และใช้กันบ่อยมากจนกลายเป็นความเคยชินว่าเป็นคำเดียวกัน
แต่ที่ถูกควรจะเขียนแยกกันหรือไม่ก็ใช้คำสันธานเชื่อม กล่าวคือ สิทธิและเสรีภาพ
เช่น สิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญ
การกล่าวอ้างว่าเรามีสิทธิหรือมีเสรีภาพอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะกระทำการต่างๆ
ตามที่กฎหมายรับรองไว้นั้นจะก่อให้เกิดผลเหมือนกันคือทำให้เกิดความชอบธรรมในการใช้อำนาจนั้นและขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นที่จะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของเรา
ส่งผลทำให้เกิดความสับสนว่าสิ่งใดเป็นสิทธิและสิ่งใดเป็นเสรีภาพ
ซึ่งความสับสนนี้ได้มีปรากฏให้เห็นเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบางช่วงเวลาก็กำหนดให้เรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเสรีภาพ
แต่ต่อมาในอีกยุคสมัยหนึ่งก็กำหนดให้เรื่องเดียวกันนั้นกลายเป็นสิทธิ เช่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ มาตรา ๑๔ บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหะสถาน
ทรัพย์สิน การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา การศึกษาอบรม การชุมนุมสาธารณะ
การตั้งสมาคม การตั้งคณะพรรคการเมือง การอาชีพ ทั้งนี้ภายใต้บังคับแห่งบทกฎหมาย แต่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ มาตรา ๓๔ วรรคแรก
กลับบัญญัติว่า สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง
ขอบเขตต์และการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย...
ทำให้เกิดข้อพิจารณาว่าสิ่งที่กฎหมายเคยรับรองว่าเป็นเสรีภาพนั้นเพราะเหตุใดจึงกำหนดให้สิ่งเดียวกันกลายเป็นสิทธิขึ้นมา
นอกจากนี้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน
พุทธศักราช ๒๕๔๐
ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ให้การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมากกว่าฉบับใดๆ
ที่ผ่านมา ก็ยังได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่ากรณีใดที่เป็นสิทธิ เช่น
สิทธิในครอบครัว, สิทธิในทรัพย์สิน และสิทธิในการได้รับบริการทางสาธารณสุข เป็นต้น
และกรณีใดที่เป็นเสรีภาพ เช่น เสรีภาพในเคหสถาน, เสรีภาพในการเดินทาง
และเสรีภาพในทางวิชาการ เป็นต้น
มีเพียงกรณีเดียวที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้เป็นทั้งสิทธิและเป็นทั้งเสรีภาพในขณะเดียวกัน
ดังที่ปรากฏใน มาตรา ๓๑
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นการรับรองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล
หมายความว่า ตนเองเท่านั้นที่มีสิทธิเป็นเจ้าของชีวิตและร่างกายของตนเอง
บุคคลอื่นใดไม่มีสิทธิมาพรากชีวิตไปจากตน หรือกระทำทารุณกรรมต่อร่างกายของตนได้
ขณะเดียวกัน ก็มีเสรีภาพในการดำเนินชีวิตและใช้ร่างกายของตนไปตามที่ตนเองปรารถนาโดยอิสระ
ไม่ต้องให้ใครมาบีบบังคับหรือบงการ
ดังนั้นการที่เราต้องพิจารณาถึงเนื้อหาของสิ่งที่กฎหมายรับรองว่าเป็นสิทธิหรือเป็นเสรีภาพ
หรือเป็นทั้งสิทธิและเสรีภาพ จึงนับได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การที่จะแบ่งแยก สิทธิ
และ เสรีภาพ ออกจากกันอย่างเด็ดขาดนั้น
เป็นเรื่องที่ไม่สามารถกระทำได้
เพราะแม้ว่าโดยสารัตถะของสิทธิและเสรีภาพนั้นจะมีความแตกต่างกันอยู่ก็ตาม
แต่ในการใช้การตีความก็ต้องนำมาวินิจฉัยประกอบกันเสมอ
ในขณะเดียวกันการที่ละเลยไม่พิจารณาที่เนื้อหาว่าสิ่งที่กฎหมายได้รับรองให้นั้นเป็น
สิทธิ หรือเป็น เสรีภาพ
โดยยังปล่อยให้มีการใช้กันอย่างสับสนอยู่ต่อไปก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเช่นกันเพราะอาจทำให้มีการบิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมายโดยอาศัยช่องว่างดังกล่าว
๒.
แนวความคิดอันเป็นที่มาพื้นฐานของสิทธิและเสรีภาพ
แนวความคิดเรื่องของสิทธิเสรีภาพของมนุษย์
เริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่ในยุคกรีก อริสโตเติล กล่าวไว้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเหตุผล
ย่อมมีเสรีภาพในการเลือก และด้วยเหตุผลที่ถูกต้องย่อมช่วยให้เขาเข้าถึงธรรมชาติได้
และ ณ จุดนี้เองคือเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์
โดยแนวความคิดนี้ถือว่า มนุษย์นั้นมีเสรีภาพอยู่แล้วตามกฎธรรมชาติ
ภายใต้เหตุผลที่ถูกต้องเนื่องจากภูมิปัญญาของมนุษย์
ต่อมาเริ่มมีแนวความคิดว่ามนุษย์ตามธรรมชาตินั้นมีสิทธิเสรีภาพมาก
และเมื่อทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน
ก็ไม่มีอำนาจในการบังคับซึ่งกันและกันหากไม่มีการลดเสรีภาพของแต่ละคนลงมา
การกระทบกระทั่งตลอดจนการขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นในสังคมได้
ผู้อ่อนแอต้องตกเป็นทาสและถูกจำกัดเสรีภาพหมด
การมีเสรีภาพโดยไม่มีขอบเขตจึงเป็นเหตุใหญ่ให้เกิดการไร้เสรีภาพ
การเข้ามารวมเป็นสังคมยอมรับอำนาจการเมืองเหนือตนเป็นรูปแบบการปกครองต่างๆ
ก็เพื่อให้อำนาจสูงสุดนั้นสูงเหนือทุกคนเป็นกรรมการคอยรักษากติกาไม่ให้ผู้เข้มแข็งกว่าใช้เสรีภาพโดยไม่มีขอบเขตรังแกผู้อ่อนแอกว่า
หลักการของสิทธิและเสรีภาพโดยเจตนารมณ์ร่วมกันของปวงชนนั้นพัฒนามาสู่ปัจจุบัน
โดยมีการกำหนดวางหลักของสิทธิและเสรีภาพ เงื่อนไขและหลักการจำกัดสิทธิของประชาชน
โดยถือว่าการที่ราษฎรต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญระบอบประชาธิปไตยนั้น
ก็เพราะประสงค์จะให้ตนมีสิทธิและเสรีภาพนั้นเอง
ซึ่งรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรของประเทศต่างๆ
ในปัจจุบันจะมีบทบัญญัติกำหนดเรื่องสิทธิและเสรีภาพไว้ทั้งสิ้น
๓.
ความหมายของ สิทธิ และ
เสรีภาพ
สิทธิและเสรีภาพ
เป็นคำที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีเพราะมักจะถูกนำมาอ้างในการกระทำการ
หรือห้ามมิให้กระทำการ
รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐกระทำการหรือโต้แย้งการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของรัฐ
และยังถือว่าเป็นคำที่มีความสำคัญต่อพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย
คำว่า สิทธิ
(Right) ในทางกฎหมายนั้น
ได้มีนักกฎหมายหลายท่านได้ให้คำนิยามไว้ เช่น
ขุนประเสริฐศุภมาตรา ได้อธิบายว่า สิทธิ
หมายถึงอำนาจหรือความสามารถซึ่งกฎหมายรับรองป้องกันให้บุคคลผู้หนึ่งมีอำนาจร้องขอให้ผู้อื่นมีหน้าที่ต้องเคารพ
ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย ได้อธิบายว่า
สิทธิเป็นการก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นในอันที่จะต้องปฏิบัติการให้เป็นไปตามประโยชน์ที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้
รวมถึงมีหน้าที่ที่จะไม่รบกวนต่อสิทธิหรือหน้าที่ที่จะกระทำการหรืองดเว้นกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เป็นไปตามสิทธิ
ทั้งนี้ แล้วแต่ประเภทของสิทธินั้นๆ ด้วย
คณิน
บุญสุวรรณ ให้ความหมายไว้ว่า สิทธิ หมายถึง
อำนาจอันชอบธรรมที่บุคคลสามารถที่จะมีหรือกระทำอะไรก็ได้ที่มีกฎหมายรองรับ
แต่คำว่าจะทำอะไรก็ได้ในที่นี้ มิได้หมายความว่า ทำอะไรได้ตามใจ เพราะหากทำอะไรลงไปแล้วเกิดไปกระทบสิทธิของคนอื่นหรือทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนเสียหาย
หรือสูญเสียอะไรบางอย่าง การกระทำดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ต้องห้าม เช่น สิทธิในการมีทรัพย์สินส่วนตัว
สิทธิในที่ดิน สิทธิในการป้องกันตัวเอง หรือสิทธิในการใช้รถใช้ถนน
สิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เป็นต้น
รองศาสตราจารย์ ดร. วรพจน์ วิศรุตพิชญ์ อธิบายว่า สิทธิ
คืออำนาจที่กฎหมายรับรองให้แก่บุคคลในอันที่จะกระทำการเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหรือบุคคลอื่น (เช่น สิทธิทางหนี้ กรรมสิทธิ์ฯลฯ)
เป็นอำนาจที่กฎหมายรับรองให้แก่บุคคลหนึ่งในอันที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นอีกคนหนึ่งหรือหลายคนกระทำการบางอย่างบางประการให้เกิดประโยชน์แก่ตน
หรือให้ละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อุดม รัฐอมฤต และคณะ มีความเห็นเรื่อง สิทธิ
นี้ว่า หมายถึง อำนาจที่กฎหมายรับรองให้แก่บุคคลในอันที่จะกระทำการเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินและบุคคลอื่นหรือเรียกร้องให้บุคคลอื่นหรือหลายคนกระทำการหรืองดเว้นกระทำการบางอย่างเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตน
ดร. บรรเจิด สิงคะเนติ ได้แบ่งแยก สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
ออกจากความหมายของคำว่า สิทธิตามความหมายทั่วไป
โดยสิทธิตามรัฐธรรมนูญ หมายถึง อำนาจที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดได้บัญญัติให้การรับรอง
คุ้มครองแก่ปัจเจกบุคคลในอันที่จะกระทำการใด หรือไม่กระทำการใด
ซึ่งการให้อำนาจแก่ปัจเจกบุคคลดังกล่าวได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องที่จะไม่ให้บุคคลใดแทรกแซงในสิทธิตามรัฐธรรมนูญของตน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรียกร้องต่อองค์กรของรัฐมิให้แทรกแซงในขอบเขตสิทธิของตน
ในบางกรณีการรับรองดังกล่าวได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องให้รัฐดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
สิทธิตามรัฐธรรมนูญยังหมายรวมถึง
การให้หลักประกันในทางหลักการซึ่งหมายถึงการมุ่งคุ้มครองต่อสถาบันในทางกฎหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ดังนั้น สิทธิตามรัฐธรรมนูญจึงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลกับรัฐ
และสิทธิตามรัฐธรรมนูญเป็นสิทธิที่ผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทั้งหลายต้องให้ความเคารพ
ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมีผลในทางปฏิบัติ
หากนำหลักการและความคิดเกี่ยวกับสิทธิมาประมวลแล้ว
ก็จะเห็นได้ว่าสิทธิมีลักษณะสำคัญที่ตรงกันอยู่หลายประการ ได้แก่
(๑)
สิทธินั้นจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสิทธิที่จะเลือกใช้สิทธิ
สิทธิจะเป็นการรับรองให้เจ้าของสิทธิมี อำนาจ
สามารถ ใช้ สิทธินั้นได้ หรืออาจจะไม่ใช้สิทธินั้นได้ตามเจตจำนงของเจ้าของสิทธิ
ในบางกรณีก็อาจจะให้ผู้อื่นใช้สิทธิของตนแทนได้
ซึ่งการให้ผู้อื่นใช้สิทธิแทนนี้มักพบในกฎหมายแพ่ง
(๒)
สิทธินั้นเรียกร้องให้ผู้อื่นมีหน้าที่ต้องเคารพสิทธิของตนนั้น กล่าวคือ
ถ้าเป็นสิทธิในทางแพ่ง จะสามารถเรียกร้องต่อทรัพย์ (ทรัพยสิทธิ)
บุคคลอื่นมีหน้าที่ต้องยอมรับและไม่ละเมิดต่อสิทธิในทรัพย์อันผู้อื่นมีสิทธิอยู่นั้น
หรือเรียกร้องให้บุคคลดำเนินการหรือไม่ดำเนินการ (บุคคลสิทธิ)
หรือในทางกฎหมายมหาชน สิทธินั้นจะเรียกร้องให้รัฐโดยหน่วยงานของรัฐ กระทำการ
หรือไม่กระทำการใดๆ เพื่อตนได้ ทุกกรณีนั้นแสดงถึง หน้าที่
ที่ผู้อื่นจะกระทำต่อสิทธินั้น กล่าวคือในทุกสิทธิจะมีหน้าที่ต่อผู้อื่นเสมอ
(๓) สิทธิจะเกิดขึ้นก็แต่โดยกฎหมายเท่านั้น
เนื่องจากสิทธิเป็นเรื่องของอำนาจและหน้าที่ที่จะบังคับต่อบุคคลอื่นหรือรัฐ
ปัจเจกชนทั่วไปจะบังคับต่อบุคคลอื่นหรือรัฐได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายรับรองสิทธิของตน
และกำหนดหน้าที่ต่อบุคคลอื่นเท่านั้น
จริงอยู่แม้ในทางแพ่งบุคคลมีสิทธิจะทำนิติกรรมผูกพันได้โดยเสรี
และนิติกรรมนั้นก็อาจจะเกิดสิทธิทางแพ่งขึ้นก็ได้
แต่การที่บุคคลสามารถทำนิติกรรมกันได้นั้นก็ต้องชอบด้วยเงื่อนไขที่กฎหมายได้กำหนดไว้ด้วย
ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าสิทธิจะเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยกฎหมายเท่านั้น
โดยกฎหมายอาจจะกำหนดสิทธิไว้โดยชัดเจนหรือให้อำนาจแก่ปัจเจกชนไปกำหนดก่อตั้งสิทธิระหว่างกันและกันได้โดยเสรี
ตราบใดที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน
ส่วนสิทธิต่อรัฐนั้นก็ชัดเจนว่าต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติเท่านั้น
ส่วนคำว่า เสรีภาพ
(Liberty) นั้น แปลว่า ความมีเสรีหรือสภาพที่ทำได้โดยปลอดอุปสรรค
สภาพที่มีสิทธิที่จะทำ จะพูดได้โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น กล่าวขยายความได้ว่า
เสรีภาพเป็นอำนาจอันชอบธรรมที่กฎหมายรับรอง
และคุ้มครองแก่บุคคลที่จะกระทำการหรือไม่กระทำการใดๆ ตามที่เขาต้องการได้โดยอิสระ
หรือโดยปลอดจากอุปสรรคหรือการบังคับขัดขวาง
เสรีภาพจึงก่อหน้าที่ตามกฎหมายให้รัฐและบุคคลอื่นที่จะต้องเคารพและไม่ไปรบกวน
ขัดขวางการใช้เสรีภาพของเขา
วรพจน์
วิศรุตพิชญ์ อธิบายว่า เสรีภาพ คือ
ภาวะของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของผู้อื่น
เป็นภาวะที่ปราศจากการถูกหน่วงเหนี่ยวขัดขวาง
บุคคลใดบุคคลหนึ่งย่อมมีเสรีภาพอยู่ตราบเท่าที่เขาไม่ถูกบังคับให้กระทำในสิ่งที่เขาไม่ประสงค์จะกระทำและไม่ถูกหน่วงเหนี่ยวขัดขวางไม่ให้กระทำในสิ่งที่เขาประสงค์จะกระทำ
โดยสรุปแล้ว เสรีภาพ คือ อำนาจของบุคคลในอันที่จะกำหนดตนเอง
โดยอำนาจนี้บุคคลย่อมเลือกวิถีชีวิตของตนเองได้ด้วยตนเองตามใจปรารถนา
เสรีภาพจึงเป็นอำนาจที่บุคคลมีอยู่เหนือตนเอง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อุดม รัฐอมฤต และคณะ มีความเห็นเรื่อง เสรีภาพ
นี้ว่า หมายถึง สภาวการณ์ของมนุษย์ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของบุคคลอื่น
หรือปราศจากการหน่วงเหนี่ยวขัดขวาง
บุคคลใดบุคคลหนึ่งย่อมมีเสรีภาพอยู่เท่าที่บุคคลนั้นไม่ถูกบังคับให้ต้องกระทำในสิ่งที่ไม่ประสงค์จะกระทำ
หรือไม่ถูกหน่วงเหนี่ยวขัดขวางไม่ให้กระทำในสิ่งที่บุคคลนั้นประสงค์ที่จะกระทำ
แซลมอนด์ (Salmond)
ได้ให้คำนิยามว่า เสรีภาพ หมายถึง
ประโยชน์ซึ่งบุคคลได้มาโดยปราศจากหน้าที่ในทางกฎหมายใดๆ ต่อตนเอง
เป็นสิ่งที่บุคคลอาจทำได้โดยจะไม่ถูกป้องกันขัดขวางโดยกฎหมาย
และเป็นประโยชน์ที่บุคคลจะกระทำการใดๆ
ได้ตามชอบใจโดยข่ายแห่งเสรีภาพตามกฎหมายที่ได้แก่ข่ายแห่งกิจกรรมซึ่งภายในข่ายกฎหมายนี้ปล่อยให้บุคคลใดๆ
กระทำการไปโดยลำพัง
อย่างไรก็ดี อาจมีกรณีที่ก่อให้เกิดความสับสนได้
คือ กรณีของ สิทธิในเสรีภาพ (Freiheitsrecht)
กล่าวคือ โดยลำพังของเสรีภาพนั้น ไม่ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่น เช่น
เสรีภาพในการนับถือศาสนา
ซึ่งบุคคลย่อมมีเสรีภาพในการที่จะนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ในแง่นี้มิได้ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นแต่อย่างใด แต่หากกล่าวว่า สิทธิในเสรีภาพ
นั้นหมายความว่าบุคคลนั้นย่อมมีสิทธิที่จะใช้เสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองในความหมายนี้
ย่อมก่อให้เกิดความผูกพันต่อบุคคลอื่น กล่าวคือ
บุคคลย่อมมีหน้าที่ที่จะไม่ละเมิดการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญของบุคคลนั้น
ตัวอย่างสำคัญ คือ รัฐธรรมนูญของเยอรมันได้บัญญัติเกี่ยวกับเสรีภาพไว้ในมาตรา ๒
โดยในวรรคหนึ่งเป็น เสรีภาพทั่วไปในการกระทำการ
โดยถือว่าเป็น สิทธิขั้นพื้นฐานหลัก(Muttergrundrecth)
ซึ่งจากสิทธิและเสรีภาพหลักดังกล่าวได้ก่อให้เกิดเสรีภาพเฉพาะเรื่องอื่นๆ
อีกมากมาย ในกรณีที่มีการแทรกแซงในสิทธิและเสรีภาพโดยอำนาจรัฐในกรณีนี้ย่อมถือว่าสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวมีสถานะเป็น
สิทธิในการป้องกันตามกฎหมายมหาชน
อันเป็นสิทธิที่อาจเรียกร้องให้รัฐดำเนินการเพื่อให้ได้รับความคุ้มครองได้อย่างสมบูรณ์
๔.
สิทธิและเสรีภาพ : ความสัมพันธ์และความแตกต่างกัน
จะเห็นได้ว่าสิทธิกับเสรีภาพ มีความคล้ายคลึงกันในข้อที่ว่าต่างก็เป็นอำนาจอันชอบธรรมที่กฎหมายรับรองให้แก่บุคคล
และยังมีความเกี่ยวพันอีกหลายประการ กล่าวคือ สิทธินั้นหมายความรวมถึง
สิทธิที่จะมีเสรีภาพต่างๆ ตามควรแก่สภาพและฐานะของบุคคลด้วย และเสรีภาพนั้น
ที่สำคัญคือเสรีภาพที่จะกระทำการหรือไม่กระทำการใดๆ ได้ตามสิทธิของตน
สิทธิยังเป็นตัวบ่งชี้สำคัญถึงระดับความมีเสรีภาพ
เนื่องจากความหมายของสิทธิและเสรีภาพใกล้เคียงกัน และสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ปัจจุบันจึงมีการใช้ปนๆ กัน บางครั้งก็ใช้สลับกันหรือแทนกัน อาทิคำว่า
สิทธิมนุษยชน (Human Right) นั้น หมายความรวมถึงบรรดาสิทธิและเสรีภาพที่มนุษย์ทุกคนมีในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์
มิได้จำกัดอยู่เฉพาะแต่สิทธิเท่านั้น เป็นต้น แต่คนส่วนใหญ่
มักจะใช้ควบคู่กันไปโดยเรียกรวมๆ ว่า สิทธิเสรีภาพ
ซึ่งหมายถึง อำนาจอันชอบธรรมตามกฎหมายของบุคคลที่จะกระทำหรือไม่กระทำการต่างๆ โดยปลอดจากการรบกวนขัดขวางของรัฐหรือบุคคลอื่น
อย่างไรก็ตาม เสรีภาพมีความแตกต่างจากสิทธิ
เนื่องจากสิทธิเป็นอำนาจที่บุคคลใช้ในความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับผู้อื่น
โดยการเรียกร้องให้ผู้อื่นกระทำการหรือละเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นประโยชน์แก่ตน
แม้ว่าการที่กฎหมายรับรองเสรีภาพอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่บุคคลย่อมมีผลก่อให้เกิดหน้าที่แก่ผู้อื่นด้วยเหมือนกัน
แต่หน้าที่ที่เกิดขึ้นแก่ผู้อื่นอันเนื่องมาจากกฎหมายรับรองเสรีภาพให้แก่บุคคลคนหนึ่งนี้
เป็นแต่เพียงหน้าที่ที่จะต้องเคารพเสรีภาพของเขา ผู้ทรงเสรีภาพคงมีอำนาจแต่เพียงที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นละเว้นจากการรบกวนขัดขวางการใช้เสรีภาพของตนเท่านั้น
หาได้มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นการส่งเสริมการใช้เสรีภาพของตน
หรือเอื้ออำนวยให้ตนใช้เสรีภาพได้สะดวกขึ้นไม่
การเปรียบเทียบสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในความครอบครองของหน่วยราชการ
หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น (Right of
access to Government-Held
Information)
น่าจะแสดงให้เห็นความแตกต่างระหว่างสิทธิกับเสรีภาพได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
กล่าวคือ เมื่อรัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองสิทธิในการรับรู้ข้อมูลและข่าวสาร
เราหมายความว่าราษฎรมีอำนาจตามกฎหมายในอันที่จะขอดูข้อมูลหรือข่าวสารต่างๆ
ที่ตนสนใจจากหน่วยงานที่ครอบครองข้อมูลหรือข่าวสารเหล่านั้นได้
และหน่วยงานนั้นก็มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องให้ผู้ยื่นคำขอได้ดูข้อมูลข่าวสารนั้นด้วย
ดังที่ปรากฏในมาตรา ๑๑ ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
ตรงกันข้าม เมื่อเรากล่าวว่ารัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เราหมายความว่าราษฎรมีอำนาจตามกฎหมายในอันที่จะกล่าวถ้อยคำ
เขียนหรือเผยแพร่ข้อความใดๆ ที่ตนประสงค์จะกล่าว เขียน หรือเผยแพร่ได้
โดยปราศจากการรบกวนขัดขวางจากองค์กรต่างๆ ของรัฐ
แต่ราษฎรหามีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกร้องให้รัฐจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการแสดงความคิดเห็นโดยวิธีต่างๆ
เหล่านั้นไม่ เช่น ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเรียกร้องให้รัฐจัดหาเครื่องกระจายเสียงให้ใช้พูด
ปากกาดินสอหรือเครื่องพิมพ์ดีดและกระดาษให้ใช้เขียน ฯลฯ
อำนาจที่ราษฎรพึงมีต่อรัฐคงเป็นเพียงอำนาจที่จะเรียกร้องให้รัฐละเว้นกระทำการใดๆ
ที่เป็นหรือจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการแสดงความคิดเห็นของตนเท่านั้น
ศาสตราจารย์ ดร.อมร รักษาสัตย์ ได้ให้ความเห็นไว้ในทำนองเดียวกันว่า
สิทธิและเสรีภาพมีผลบังคับใช้ต่างกัน
ในหลักการสิ่งใดที่เป็นสิทธิของประชาชนหมายความว่าประชาชนมีสิทธิเลือกที่จะเรียกร้องให้ตนได้รับสิทธินั้นมาใช้อย่างจริงจังโดยรัฐบาลจะต้องจัดบริการหรือให้ความคุ้มครองพิทักษ์รักษาให้ได้ใช้สิทธินั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย
ในอีกทัศนะหนึ่งสิทธิเป็นผลประโยชน์สำคัญของบุคคลหนึ่งซึ่งบุคคลอื่นจะมีหน้าที่จัดหรือยอมให้บุคคลนั้นได้รับสิทธิ
ส่วนคำว่าเสรีภาพ หมายถึง ความอิสระที่จะเลือกกระทำการใดๆ
ภายในกรอบของกฎหมายหรือเท่าที่จะไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ทั้งนี้ แล้วแต่บุคคลนั้นจะเลือกใช้เสรีภาพนั้นหรือไม่ก็ได้โดยไม่ผูกมัดว่ารัฐจะต้องจัดให้บุคคลใช้เสรีภาพนั้นเพราะการใช้เสรีภาพนั้นมักต้องใช้ทรัพยากรและมักจะไปกระทบกระเทือนผู้อื่นหรือสิ่งขัดขวางอื่น
มีตัวอย่างคำพิพากษาของศาลฎีกาที่พอจะนำมาเทียบเคียงได้
คือ คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๓๘/๒๕๑๒ เจ้าอาวาสมีหน้าที่ตามกฎหมายในการบำรุงรักษาวัด
จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี
ย่อมมีสิทธิที่จะพิเคราะห์สั่งการในการซ่อมวิหารซึ่งชำรุดว่าจะเป็นการสมควรประการใด
เมื่อเจ้าอาวาสเห็นว่าการซ่อมแซมควรหันหน้าวิหารและพระประธานไปทางทิศตะวันออก
เพื่อให้เป็นแนวเดียวกับโบสถ์ เป็นระเบียบแบบแผนตามแผนผังของคณะสงฆ์
ใครจะอ้างความศรัทธาฝ่าฝืนเข้าซ่อมวิหารโดยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าอาวาสนั้นมิได้
หากยังขัดขืนเข้าซ่อมโดยพลการ
เจ้าอาวาสย่อมมีสิทธิยับยั้งขัดขวางไว้โดยไม่เป็นการกระทำละเมิดด้วยการใช้สิทธิอันมีแต่จะเกิดความเสียหายแก่ผู้ใด
การซ่อมวิหารกับการปฏิบัติพิธีกรรมในศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน
ใครจะอ้างเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเข้าซ่อมวิหารโดยพลการหาได้ไม่
จากคำพิพากษาของศาลฎีกาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า
แม้บุคคลจะมีเสรีภาพตามที่กฎหมายได้รับรองไว้ก็ตาม
แต่การใช้เสรีภาพดังกล่าวเป็นแต่เพียงความสามารถที่จะเลือกกระทำการใดๆ
ได้โดยอิสระภายในกรอบของกฎหมายและไม่กระทบกับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นเท่านั้น
หาได้ก่อให้เกิดอำนาจในอันที่จะเรียกร้องหรือบังคับให้บุคคลอื่นต้องปฏิบัติการใดๆ
เพื่อรองรับการใช้เสรีภาพของตนเองไม่
ในกรณีนี้แม้ว่าบุคคลนั้นจะมีเสรีภาพในการถือศาสนา
รวมทั้งมีเสรีภาพในการปฏิบัติพิธีกรรมในศาสนาตามความเชื่อถือของตนซึ่งเป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้อย่างบริบูรณ์
กล่าวคือ ไม่ได้เปิดช่องให้รัฐออกกฎหมายมาจำกัดตัดสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวได้
แต่การใช้เสรีภาพดังกล่าวนั้นจะต้องไม่กระทบกับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นและมิได้ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นที่จะต้องกระทำการใดเพื่อรองรับการใช้เสรีภาพนั้นไม่
เมื่อการใช้เสรีภาพของบุคคลนั้นไปกระทบกับสิทธิในการบริหารจัดการวัดของเจ้าอาวาส
จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการใช้เสรีภาพโดยชอบนั่นเอง
รศ.ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ และกล้า สมุทวณิช
อธิบายว่า สิทธิเสรีภาพนั้นมีความแตกต่างกันอยู่ที่
สิทธิเป็นประโยชน์ในเรื่องที่บุคคลชอบที่จะเรียกร้องเอาจากบุคคลอื่น
หากการเรียกร้องนั้นเป็นการเรียกร้องเอาแก่บุคคลทั่วไปหรือปัจเจกชนก็เป็นสิทธิในทางเอกชนเช่นสิทธิทางแพ่ง
ถ้าการเรียกร้องประโยชน์นั้นเป็นการเรียกร้องเอาจากรัฐ
สิทธินั้นก็เป็นสิทธิตามกฎหมายมหาชนหรือสิทธิตามรัฐธรรมนูญหรือหากพิจารณาถึงวิธีการ
สิทธินั้นเป็นสิ่งที่ต้อง ใช้
เช่น การใช้สิทธิเรียกร้องให้ผู้อื่นชำระหนี้ทางแพ่ง หรือสิทธิในการเลือกตั้งแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง
เป็นเรื่องที่จะเห็นว่าผู้ทรงสิทธินั้นจะต้องดำเนินการบางประการเพื่อใช้สิทธินั้น
ส่วนเสรีภาพนั้น
คือประโยชน์ในลักษณะที่บุคคลจะกระทำการใดๆ โดยไม่ถูกบังคับหรืออยู่ภายใต้อาณัติ
อันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องเรียกร้องหรือดำเนินการเพื่อใช้
แต่เสรีภาพนั้นจะส่งผลให้บุคคลผู้ทรงเสรีภาพนั้นปลอดจากการถูกบังคับให้กระทำหรือไม่กระทำการอยู่แล้ว
ตลอดเวลาที่ยังมีเสรีภาพนั้นคุ้มครองอยู่ อย่างไรก็ตาม
เสรีภาพนั้นก็ก่อให้เกิดสิทธิเช่นกัน ซึ่งบางครั้งอาจจะเรียกว่า สิทธิในเสรีภาพ
กล่าวคือ เสรีภาพนั้นก่อให้เกิดสิทธิในการที่จะเรียกร้องมิให้บุคคลอื่นหรือรัฐกระทำการอันเป็นการลิดรอนเสรีภาพนั้นได้
และหากมีการลิดรอนเสรีภาพ
ผู้ทรงเสรีภาพก็ย่อมมีสิทธิในการร้องขอหรือเยียวยาเพื่อให้ยุติการลิดรอนเสรีภาพนั้น
๕.
ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับ สิทธิ
และ เสรีภาพ
ดังที่ได้กล่าวว่าแล้วว่า สิทธิ
และ เสรีภาพ
มีความแตกต่างกันและสามารถแบ่งแยกจากกันได้โดยพิจารณาในทางเนื้อหาและอำนาจบังคับ
แต่การใช้การตีความก็ยังคงมีความสับสนอยู่ จึงได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติมบางประการ
ดังนี้
๕.๑ ในบางกรณีกฎหมายกำหนดให้สิ่งหนึ่งเป็น สิทธิ
และเป็น หน้าที่
ในขณะเดียวกัน
เมื่อพิจารณาจากธรรมชาติของสิทธิ
จะเห็นได้ว่าสิทธิเป็นอำนาจอันชอบธรรมของผู้ทรงสิทธิที่จะใช้สิทธิที่ตนมีอยู่หรือไม่ก็ได้
การที่จะไปบังคับให้บุคคลใดใช้สิทธิของตนย่อมเป็นการขัดต่อธรรมชาติของสิทธินั้นเอง
อย่างไรก็ตาม มีสิทธิบางประการที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติรับรองให้แก่บุคคลและได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในขณะเดียวกัน
โดยเป็นที่สังเกตว่าไม่มีเสรีภาพใดที่รัฐธรรมนูญจะกำหนดให้เป็นหน้าที่ในขณะเดียวกัน
จึงนับได้ว่าเป็นความแตกต่างอีกประการหนึ่งของ สิทธิ
และ เสรีภาพ
สิทธิซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ในขณะเดียวกันที่สำคัญและเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างมากคือ
สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งมีผู้เห็นว่า รัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๘
ที่กำหนดให้บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น
ขัดกับหลักเรื่องอำนาจอธิปไตย เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแล้ว
ประชาชนก็ย่อมไปใช้หรือไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้
แต่เหตุผลที่สนับสนุนให้มีการกำหนดให้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่ด้วยนั้น เห็นว่า
รัฐมีหน้าที่ต้องส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการกำหนดนโยบายการตัดสินใจทางการเมือง
โดยกำหนดให้สิทธิแก่บุคคลทั่วไปในการใช้สิทธิเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกตั้ง
ในขณะเดียวกัน
เมื่อสังคมเห็นว่าการใช้สิทธิดังกล่าวเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อประโยชน์ของสังคมและความเจริญก้าวหน้าของชาติ
และเป็นการที่ประชาชนจะใช้สิทธิของตนเพื่อเลือกบุคคลที่จะมาใช้อำนาจอธิปไตยแทนตนเอง
ดังนั้น
การกำหนดหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจึงไม่ขัดต่อหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน
แต่เป็นการส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิของประชาชนในฐานะของอธิปไตยให้มีความสมบูรณ์และจริงจังยิ่งขึ้นเท่านั้น
อีกทั้งยังมีความเห็นว่า การกำหนดให้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่ก็มิได้ขัดต่อธรรมชาติของสิทธิแต่อย่างใด
เนื่องจากกฎหมายเพียงแต่กำหนดให้บุคคลต้องไปใช้สิทธิเลือกตั้งเท่านั้น
ส่วนการที่บุคคลนั้นจะเลือกใครก็ถือว่าเป็นสิทธิของบุคคลนั้นอย่างเต็มที่
ซึ่งแม้แต่รัฐเองก็จะเข้าไปก้าวล่วงสิทธิดังกล่าวนี้ไม่ได้
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
มาตรา ๖๙ บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รับราชการทหาร เสียภาษีอากร
ช่วยเหลือราชการ รับการศึกษาอบรม พิทักษ์ ปกป้อง
และสืบสานศิลปะวัฒนธรรมของชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น
และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ จะเห็นได้ว่า
มีหน้าที่บางประการที่เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญในขณะเดียวกัน เช่น
รัฐธรรมนูญได้บัญญัติให้สิทธิอย่างเสมอภาคแก่บุคคลในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่รัฐมีหน้าที่ต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
แต่ในขณะเดียวกันก็บัญญัติให้บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาดังกล่าว
เนื่องจากเห็นว่าพลเมืองที่มีการศึกษาดีย่อมเป็นทรัพยากรที่ดีในการพัฒนาประเทศต่อไป
การกำหนดหน้าที่ดังกล่าวเป็นการกำหนดหน้าที่ของบุคคลเพื่อประโยชน์แก่ประเทศชาติหรือสังคมส่วนรวม
หรือในกรณีสิทธิในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ก็ยังกำหนดให้เป็นหน้าที่ของชนชาวไทยไปในขณะเดียวกัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีกรณีใดที่จะกำหนดให้เป็นทั้งหน้าที่และเป็นทั้งเสรีภาพในขณะเดียวกัน
ซึ่งในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่า สืบเนื่องจากการที่ เสรีภาพ ส่วนใหญ่แล้วมีลักษณะเป็นเรื่องส่วนบุคคลโดยแท้
การใช้เสรีภาพไม่ได้ก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นโดยตรงแต่อย่างใด
บุคคลอื่นมีหน้าที่เพียงต้องเคารพและไม่ก้าวล่วงเข้ามาในแดนเสรีภาพของเราเท่านั้น
แต่สิทธิเป็นกรณีที่หากมีการใช้สิทธิแล้วย่อมส่งผลออกไปภายนอก
ก่อให้เกิดอำนาจแก่บุคคลผู้ทรงสิทธิในการที่จะบังคับให้เป็นไปตามสิทธิของตนเหมือนกับในกรณีของหน้าที่ที่ต้องมีการแสดงออกมาเช่นกัน
กล่าวคือ เป็นสิ่งที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ
และการปฏิบัติหน้าที่นั้นก็มีผลกระทบกับบุคคลอื่นเช่นกัน กล่าวคือ
บุคคลอื่นก็ต้องยอมรับให้ผู้ที่มีหน้าที่นั้นได้ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนภายในกรอบที่กฎหมายกำหนดแม้ว่าตนจะได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นก็ตาม
ได้มีผู้แสดงทัศนะไว้อย่างน่าฟังว่า
เสรีภาพต้องใช้ควบคู่กับความรับผิดชอบ และสิทธิต้องใช้ควบคู่กับหน้าที่ อย่างแรกหมายถึง
การใช้เสรีภาพใด ต้องตั้งใจให้เกิดผลดีที่สุดต่อตนเองและผู้อื่น
เป็นไปในทางสร้างสรรค์ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและสังคม
ไม่ใช้เสรีภาพไปในทางละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น
หรือก่อความเสียหายแก่ตนเองหรือผู้อื่นและหากมีผลเกิดขึ้นอย่างใดไม่ว่าดีหรือร้ายก็รับผิดชอบต่อผลนั้น
อย่างที่สองหมายถึง สิทธิต้องใช้โดยควบคู่กับหน้าที่ด้วย
สิทธิที่ได้ทุกอย่างจะมาพร้อมกับหน้าที่ที่จะต้องทำด้วยเสมอ
ผู้ที่ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องก็จะเป็นผู้ที่ใช้สิทธิอย่างถูกต้องด้วย
เมื่อมีสิทธิก็ต้องมีหน้าที่ เมื่อได้สิทธิก็ต้องทำหน้าที่ด้วย
สิทธิเป็นเรื่องของการที่จะได้ที่จะเอา
ส่วนหน้าที่เป็นเรื่องของการที่จะให้ที่จะสละออกไป
๕.๒
ในกรณีเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์โดยตรงจะกำหนดให้เป็นสิทธิเสมอ
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติต่างๆ ในรัฐธรรมนูญแล้ว
เห็นได้ว่าบางเรื่องกำหนดให้เป็นสิทธิแต่ในบางเรื่องกำหนดให้เป็นเสรีภาพ
โดยมีข้อสังเกตว่าเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมนุษย์โดยแท้ กล่าวคือ
เป็นสิ่งที่เกิดมีขึ้นอันเนื่องจากการที่บุคคลนั้นมีความเป็นมนุษย์
เป็นสิ่งที่ติดตัวบุคคลมาตั้งแต่กำเนิด โดยเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วก่อนที่ความเป็นรัฐจะเกิดมีขึ้น
ซึ่งแม้แต่รัฐเองก็ไม่สามารถลบล้างสิ่งนั้นจากบุคคลผู้เป็นเจ้าของได้ เช่น
สิทธิในชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สินของบุคคล เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ในรัฐธรรมนูญจะกำหนดให้เป็น สิทธิ
เสมอ ไม่กำหนดให้เป็น เสรีภาพ ทั้งนี้
เนื่องจากสิ่งที่กฎหมายต้องการรับรองให้เป็นสิทธินั้นมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับบุคคลโดยตรง
มีผลกระทบกับผู้ทรงสิทธินั้นอย่างมาก
และการที่กำหนดให้เป็นสิทธินั้นก่อให้เกิดอำนาจในการบังคับให้เป็นไปตามสิทธิของตนได้
รวมทั้งบุคคลอื่นก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามสิทธิตนเช่นกัน ทำให้สิ่งที่กฎหมายประสงค์จะคุ้มครองเกิดผลใช้บังคับได้จริง
ในขณะที่เสรีภาพส่วนใหญ่นั้นเป็นอิสระของบุคคลที่จะกระทำการใดหรือไม่กระทำการใดที่เป็นประโยชน์แก่ตน
อาจจะมองในแง่หนึ่งว่าเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพของตนอย่างอิสระ ซึ่งเสรีภาพหลายๆ
ประการเป็นเสรีภาพที่เกิดขึ้นมาภายหลังจากที่มีรัฐเกิดขึ้นแล้ว
มิใช่เป็นเสรีภาพที่มีมาแต่ดั้งเดิม เช่น เสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม ,
เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง เป็นต้น
ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเป็นเสรีภาพที่มีมาแต่เดิมพร้อมกับความเป็นมนุษย์ กล่าวคือ
เป็นเสรีภาพมีเกิดขึ้นก่อนที่จะมีรัฐเกิดขึ้น เช่น เสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ,
เสรีภาพในการถือศาสนา เสรีภาพในการเดินทางและเสรีภาพในการเลือกถิ่นที่อยู่ เป็นต้น
ซึ่งโดยสภาพแล้วสิ่งที่กฎหมายกำหนดให้เป็นเสรีภาพนั้นเป็นเรื่องของการแสดงออกเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของตนไม่ได้มีผลกระทบกับสารัตถะของความเป็นมนุษย์โดยตรง
ดังนั้น จึงรับรองให้เป็น เสรีภาพ
โดยเป็นการรับรองเพื่อไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามาก้าวล่วงหรือขัดขวางการใช้เสรีภาพของตนเท่านั้นแต่ไม่ถึงขนาดจะกำหนดให้อำนาจในการบังคับให้บุคคลอื่นกระทำการเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนได้
๕.๓
ลักษณะการบัญญัติกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพ
ในกฎหมายเกือบทุกฉบับล้วนแล้วแต่ต้องมีคำว่า สิทธิ
และ เสรีภาพ อยู่ด้วยเสมอ
ทั้งในกรณีที่อยู่ในบทบัญญัติและกรณีที่ไม่ได้อยู่ในบทบัญญัติแต่อยู่ในบทอาศัยอำนาจ
โดยเฉพาะเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดให้การออกกฎหมายที่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลจะต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการตรากฎหมายนั้นด้วยเสมอ
แต่เมื่อพิจารณาจากบทอาศัยอำนาจในกฎหมายฉบับต่างๆ แล้ว
เห็นว่ามีลักษณะการบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพที่ต่างกัน ๓ ลักษณะ ดังนี้
๑) ใช้คำว่า สิทธิและเสรีภาพ
ซึ่งส่วนใหญ่มักจะใช้ลักษณะนี้ เช่น พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. ๒๕๔๕ เป็นต้น
๒)
ใช้คำว่า สิทธิเสรีภาพ เช่น พระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๔
และพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๔๒
เป็นต้น
๓) ใช้คำว่า สิทธิ และใช้คำว่า เสรีภาพ แยกออกจากกันอย่างชัดเจน เช่น พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. ๒๕๐๕
ส่วนในบทบัญญัติที่เป็นเนื้อหาของกฎหมายเองก็มีการใช้คำว่า
สิทธิ และคำว่า เสรีภาพ ในหลายกรณี
ซึ่งหลายฉบับก็บัญญัติไว้อย่างชัดเจน เช่น พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔
ได้บัญญัติแยกกันอย่างชัดเจนว่ากรณีใดเป็นสิทธิและกรณีใดเป็นเสรีภาพ
ทำให้เกิดความชัดเจน ไม่สับสน ในขณะที่บางฉบับได้บัญญัติไว้อย่างรวมๆ ไม่ชัดเจน เช่น พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.
๒๕๔๕ และพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งการที่บัญญัติโดยใช้คำว่า สิทธิเสรีภาพ นั้น
ไม่ได้ระบุโดยเฉพาะเจาะจงว่าเป็นสิทธิใดหรือเสรีภาพใด
แต่เป็นการบัญญัติไว้ในลักษณะโดยรวม กล่าวคือ
หมายรวมสิทธิและเสรีภาพทุกอย่างที่ประชาชนหรือบุคคลพึงมี
นอกจากนี้
ในกฎหมายบางฉบับยังมีความสับสนในเรื่องของการใช้ถ้อยคำในกรณีดังกล่าวได้ เช่น
พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. ๒๕๔๐
ซึ่งการใช้คำว่า สิทธิหรือเสรีภาพ
มิได้ใช้คำใดคำหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง แสดงให้เห็นว่าผู้ร่างกฎหมายยังไม่สามารถหาเกณฑ์ในการตัดสินว่าจะกำหนดให้กรณีดังกล่าวเป็นสิทธิหรือเป็นเสรีภาพ
จึงได้กำหนดให้เป็นทางเลือกไว้ทั้งสองทางคือ เป็นสิทธิก็ได้หรือเป็นเสรีภาพก็ได้
ทั้งที่ การประกอบอาชีพเป็นเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้อย่างชัดแจ้ง ส่วนการทำนิติกรรมนั้นในทางกฎหมายเอกชนมองว่าเป็นเรื่อง
เสรีภาพในการทำสัญญา
เพราะเป็นเรื่องการแสดงเจตนาโดยอิสระของเอกชน ไม่ใช้คำว่า สิทธิในการทำสัญญา
แต่อย่างใด ในชั้นพิจารณาของคณะกรรมการร่างกฎหมาย คณะพิเศษ
เพื่อตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. .... ก็ยังมีความสับสนในเรื่องการใช้ถ้อยคำอยู่ คือ
ในร่างกฎหมายก่อนที่จะมีการแก้ไขนั้น ใช้คำว่า ผู้ถูกจำกัดสิทธิ แต่ได้มีการแก้ไขเป็น ผู้ถูกจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพ ในภายหลังเพื่อให้มีความเหมาะสม
๖. บทสรุปและข้อเสนอแนะ
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง
สิทธิ และ เสรีภาพ
นับว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ในทางปฏิบัติเพราะยังไม่มีเกณฑ์ในการแบ่งแยกที่ชัดเจน
อีกทั้งบุคคลที่เป็นผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพเองก็ยังไม่ค่อยให้ความสนใจในเรื่องดังกล่าวเท่าใดนัก
มักจะมองในประเด็นที่ว่ามีใครมาโต้แย้งสิทธิและเสรีภาพของตนหรือไม่เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม การที่กำหนดให้ชัดเจนว่าสิ่งที่กฎหมายรับรองให้นั้นเป็น สิทธิ หรือเป็น เสรีภาพ ก็นับว่าเป็นประโยชน์ไม่น้อย
ทั้งนี้โดยอาศัยเกณฑ์ในการแบ่งที่สำคัญคือ อำนาจบังคับ ซึ่งทำให้ผู้ทรงสิทธิและผู้ทรงเสรีภาพทราบได้ว่าในกรณีใดที่เขามีอำนาจบังคับให้บุคคลอื่นต้องกระทำการเพื่อรองรับการใช้สิทธิของตนได้และในกรณีใดที่เขามีเพียงอิสระที่จะกระทำการแต่ไม่มีอำนาจบังคับให้บุคคลอื่นกระทำการใดให้เป็นประโยชน์แก่ตน
เมื่อพิจารณาจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญจะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญเองได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่าสิ่งใดบ้างที่เป็นสิทธิและสิ่งใดบ้างที่เป็นเสรีภาพ
ในขณะที่กฎหมายฉบับต่างๆ
กลับมีความสับสนไม่ชัดเจนเนื่องจากใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกันออกไป
ทำให้ผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพไม่อาจทราบได้ว่าจะแสดงอาการใช้สิทธิหรือเสรีภาพของตนได้มากน้อยแค่ไหนหรือมีอำนาจบังคับบุคคลอื่นให้กระทำการที่เป็นประโยชน์ให้แก่ตนได้หรือไม่
ดังนั้น การบัญญัติกฎหมายจึงควรใช้ถ้อยคำที่มีความชัดเจน
โดยกำหนดไว้ให้เข้าใจได้ว่าสิ่งนี้เป็น สิทธิ และสิ่งนี้เป็น เสรีภาพ ที่กฎหมายนั้นประสงค์จะรับรองและคุ้มครองให้
อย่างไรก็ตามการแบ่งแยกสิทธิและเสรีภาพอย่างชัดเจนคงไม่สามารถกระทำได้ในทุกกรณีเพราะในบางเรื่องก็ไม่สามารถกำหนดชัดว่าเป็นสิทธิหรือเป็นเสรีภาพหรือในบางกรณีกฎหมายประสงค์จะคุ้มครองทั้งสิทธิและเสรีภาพจึงจำเป็นต้องใช้คำรวมกันไปเพื่อให้บุคคลได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่
ในการใช้ถ้อยคำจึงจำต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมและความมุ่งหมายของกฎหมายนั้นประกอบกันด้วย
ในด้านของประชาชนซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิและเสรีภาพเองเมื่อเข้าใจความแตกต่างระหว่างสิทธิและเสรีภาพแล้ว
ก็ต้องใช้สิทธิและเสรีภาพของตนให้ถูกต้องเหมาะสมด้วย เพราะแม้ว่าการใช้สิทธิและเสรีภาพจะเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนแต่ก็ต้องคำนึงความเสียหายที่ผู้อื่นได้รับและประโยชน์ของสังคมประกอบกันด้วย