กระบวนการร่างกฎหมายของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
๑. โครงสร้างการปกครอง
แบ่งเป็น
๒ ระดับ คือ ระดับสหพันธรัฐและระดับมลรัฐ
๒.
กระบวนการร่างกฎหมายระดับสหพันธ์
๑.
ผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายของประเทศเยอรมนี
ประกอบด้วย กระทรวงเจ้าของเรื่อง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา
๒.
ขอบเขตของการเสนอร่างกฎหมาย
เนื่องจากประเทศเยอรมนีเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบสหพันธรัฐ
ซึ่งประกอบด้วย สหพันธรัฐและมลรัฐ ๑๖ มลรัฐ
รัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนี (Basic Law) จึงกำหนดขอบเขตของการเสนอร่างกฎหมาย
โดยกำหนดให้กฎหมายบางลักษณะเป็นอำนาจสิทธิขาดเฉพาะของสหพันธ์ เช่น
กฎหมายที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศและการต่างประเทศ (มาตรา ๗๓) เป็นต้น
ในขณะที่กฎหมายบางลักษณะหากยังไม่มีกฎหมายของสหพันธ์
มลรัฐสามารถออกกฎหมายในเรื่องนั้นได้
อย่างไรก็ดี หากต่อมาสหพันธ์ออกกฎหมายบังคับการในเรื่องดังกล่าว
กฎหมายของมลรัฐในเรื่องนั้นก็เป็นอันหมดสภาพบังคับไปโดยปริยาย เช่น
กฎหมายเกี่ยวกับการจัดสวัสดิการของรัฐให้แก่ประชาชน (มาตรา ๗๔) เป็นต้น
๓.
กระบวนการร่างกฎหมายของประเทศเยอรมนี
กระบวนการร่างกฎหมายของประเทศเยอรมนี
มีขั้นตอนโดยสรุปดังต่อไปนี้
(๓.๑) การยกร่างกฎหมาย
การยกร่างกฎหมายเริ่มต้นที่กระทรวงเจ้าของเรื่อง
ซึ่งเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเจ้าของเรื่องจะเป็นผู้จัดทำร่างกฎหมาย
โดยยึดถือคู่มือแบบการร่างกฎหมายที่กระทรวงยุติธรรมจัดทำขึ้นเป็นเกณฑ์
และจะมีการประสานงานขอความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องหรืออาจได้รับผลกระทบจากร่างกฎหมายนั้น
รวมถึงองค์กรภาคเอกชนและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ
เพื่อหารือร่วมกันให้ได้ร่างกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
(๓.๒) การตรวจสอบร่างกฎหมาย
ร่างกฎหมายของกระทรวงเจ้าของเรื่องที่ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานต่างๆ
จะถูกส่งไปที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อตรวจสอบความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมาย
ความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ความสอดคล้องกับกฎหมายอื่นๆ รูปแบบ ถ้อยคำ
และโครงสร้างของกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมจึงมีบทบาทและหน้าที่คล้ายกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
มีการจัดโครงสร้างองค์กรเป็นกลุ่มกฎหมายต่างๆ รวมทั้งสิ้นประมาณ ๖๕ กลุ่มกฎหมาย
แต่ละกลุ่มมีนิติกรเฉลี่ยประมาณกลุ่มละ ๔ คน
การตรวจพิจารณาร่างกฎหมายจะทำโดยนิติกรของกระทรวงยุติธรรม
ไม่ได้ตรวจพิจารณาโดยคณะกรรมการดังเช่นคณะกรรมการกฤษฎีกา
นอกจากนี้การตรวจพิจารณาของกระทรวงยุติธรรมก็มิได้เป็นการแก้ไขหรือจัดทำร่างฯ
ใหม่ขึ้น
หากแต่เป็นเพียงการเขียนข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวส่งกลับไปยังกระทรวงเจ้าของเรื่อง
เมื่อกระทรวงเจ้าของเรื่องทำการแก้ไขร่างกฎหมายตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแล้ว
กระทรวงยุติธรรมก็จะทำหนังสือยืนยันส่งไปยังกระทรวงเจ้าของเรื่องเพื่อที่กระทรวงเจ้าของเรื่องจะนำร่างกฎหมายนั้นเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
ซึ่งหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรมจะสิ้นสุดที่ขั้นตอนนี้
และกระทรวงเจ้าของเรื่องจะเป็นผู้รับผิดชอบร่างกฎหมายต่อไปจนกว่าจะประกาศใช้
อย่างไรก็ดี
ในการพิจารณาของรัฐสภากระทรวงเจ้าของเรื่องอาจขอความร่วมมือจากกระทรวงยุติธรรมให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปช่วยชี้แจงในประเด็นข้อกฎหมายที่ซับซ้อนก็ได้
นอกจากนี้
กระทรวงมหาดไทยก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ต้องตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและความสอดคล้องกับกฎหมายอื่น
และประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากร่างกฎหมายอีกด้วย
ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทั้งของกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงมหาดไทยเห็นว่า
การทำหน้าที่ดังกล่าวมิได้เป็นการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อนกัน แต่เป็นการช่วยกันตรวจสอบเพื่อความรอบคอบ
อีกทั้งการดำเนินการดังกล่าวมิได้ใช้ระยะเวลาที่เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากกระทรวงเจ้าของเรื่องจะส่งร่างกฎหมายให้ทั้งกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาในเวลาเดียวกัน
(๓.๓) การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
กระทรวงเจ้าของเรื่องจะส่งร่างกฎหมายที่ผ่านการตรวจพิจารณาของกระทรวงยุติธรรมแล้วเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาอนุมัติหลักการเฉพาะร่างกฎหมายที่ผ่านการตรวจพิจารณาของกระทรวงยุติธรรมและได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเท่านั้น
หากร่างกฎหมายใดยังมีหน่วยงานที่มีข้อสังเกตหรือข้อขัดข้อง
คณะรัฐมนตรีจะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวกลับไปให้กระทรวงเจ้าของเรื่องดำเนินการเพื่อหาข้อยุติร่วมกันเสียก่อน
(๓.๔) การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการของร่างกฎหมายแล้ว
ร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร แบ่งออกเป็น ๓ วาระ
คือ
วาระที่ ๑
ในการพิจารณาในวาระนี้จะเป็นการแบ่งสรรร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการที่รับผิดชอบกฎหมายในเรื่องดังกล่าว
หากคณะกรรมาธิการพิจารณาแล้วเห็นควรแก้ไขประการใด คณะกรรมาธิการสามารถดำเนินการแก้ไขร่างกฎหมายนั้นได้โดยไม่มีขอบเขตกำหนดไว้ ดังนั้น
ในบางครั้งร่างกฎหมายที่ผ่านการแก้ไขของคณะกรรมาธิการจึงอาจแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากร่างกฎหมายที่กระทรวงเจ้าของเรื่องเสนอ
วาระที่
๒ การพิจารณาในวาระที่ ๒
เป็นการพิจารณาร่างกฎหมายที่ผ่านการแก้ไขของคณะกรรมาธิการ
ซึ่งในวาระนี้จะมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง
โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามารถขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายที่ผ่านการแก้ไขของคณะกรรมาธิการได้อีกในวาระนี้ด้วย
วาระที่
๓
วาระนี้เป็นการพิจารณาลงมติเท่านั้นโดยไม่มีการพิจารณาแก้ไขร่างกฎหมายอีก
จากนั้นร่างกฎหมายจะถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา
ซึ่งวุฒิสภาของประเทศเยอรมนี ประกอบด้วยตัวแทนที่มาจากฝ่ายบริหารของแต่ละมลรัฐ
สมาชิกวุฒิสภาจึงเป็นตัวแทนในการปกป้องผลประโยชน์ของมลรัฐ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนี (Basic Law) ได้กำหนดให้กฎหมายที่มีผลกระทบต่อมลรัฐจำเป็นต้องได้รับความยินยอมร่วมกันทั้งจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
ในขณะที่กฎหมายเรื่องอื่นๆ
สภาผู้แทนราษฎรสามารถยืนยันการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวได้
๓.
กระบวนการร่างกฎหมายระดับมลรัฐ
กระบวนการร่างกฎหมายของระดับมลรัฐจะเป็นเช่นเดียวกับกระบวนการร่างกฎหมายของระดับสหพันธ์รัฐที่ได้กล่าวไปข้างต้น
แต่เนื่องจากกรณีของมลรัฐมีเพียงสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎร
การพิจารณาร่างกฎหมายจึงกระทำเพียง ๒ วาระ โดยจะพิจารณาลงมติในวาระที่ ๒ เว้นแต่ในบางมลรัฐที่มีหน่วยงานตรวจพิจารณาร่างกฎหมายอีกครั้งหลังจากสภาได้ลงมติแล้ว
อย่างเช่นในมลรัฐเบอร์ลิน หากหน่วยงานดังกล่าวตรวจพบข้อผิดพลาดในร่างกฎหมาย
ก็จะทำการแก้ไขและเสนอให้สภาพิจารณาเพื่อลงมติอีกครั้งหนึ่งในวาระที่ ๓
๔.
เครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการยกร่างกฎหมาย
๑.
คู่มือแบบการร่างกฎหมายที่กระทรวงยุติธรรมจัดทำขึ้น
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการร่างกฎหมายทั้งในระดับฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติใช้ประกอบการจัดทำร่างกฎหมายและการตรวจร่างกฎหมาย
๒. Joint Rule of Procedure of the
Federal Ministries เป็นระเบียบภายในของคณะรัฐมนตรีที่ฝ่ายรัฐบาลถือปฏิบัติตาม
ประกอบด้วยหลายเรื่องด้วยกัน โดยส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการร่างกฎหมายจะอยู่ในบทที่
๖
ซึ่งกำหนดเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดเตรียมร่างกฎหมายและเอกสารที่ต้องจัดเตรียมในการเสนอร่างกฎหมายจะต้องประกอบด้วย
ตัวร่าง บันทึกประกอบร่าง บันทึกสรุปสาระสำคัญของร่าง เป็นต้น
๓. Guidelines on Regulatory Impact Assessment
เป็นคู่มือที่กระทรวงมหาดไทยจัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากร่างกฎหมาย
โดยตรวจสอบผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมาย
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากร่างกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งกระทรวงเจ้าของเรื่องจะต้องจัดทำการประเมินผลกระทบมาพร้อมกับการเสนอร่าง
โดยจัดทำเป็นใบปะหน้าแยกต่างหากจากตัวร่าง บันทึกประกอบ และบันทึกสรุปสาระสำคัญ